ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ ชุมชนแห่งความรู้ด้านจีนศึกษา


ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ชุมชนวิชาการจีนศึกษา

ชุดโครงการวิจัยจีนศึกษานี้ นอกจากจะมุ่งสร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ เพื่อให้ทันกับความจำเป็น และความต้องการของประเทศ ทั้งในแวดวงวิชาการชั้นสูงแล้ว ยังมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ในการบูรณาการความรู้ เพื่อวางแผนการพัฒนาประเทศ "ชุดโครงการวิจัยจีนศึกษา" จึงเป็นการมุ่งเปิดมุมมองการศึกษา เกี่ยวกับมิติทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองในชนบทจีน ความเปลี่ยนแปลงอันเป็นผลจากการพัฒนาทางอุตสาหกรรม กระบวนการ นคราภิวัตร คู่ความสัมพันธ์และขัดแย้งระหว่างเมืองและชนบทของจีน ปัญหาทางเศรษฐกิจ และ การปรับตัวของทั้งเมือง ต่อชนบท และทั้งของชนบทต่อเมือง อันเป็นผลพวงจาก นโยบายปฏิรูปเปิดกว้างของรัฐบาลจีนในช่วงเกือบ30ปี ที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบททางสังคมและการเมือง ซึ่งยังได้รับความสนใจศึกษาทางวิชาการไม่มากนัก ตลอดจนศึกษาผลกระทบจากการดำเนินนโยบายต่อภาคการเกษตรและการพัฒนาชนบทของจีนที่เกิดขึ้น การลงทุนภาคเกษตรของจีนในประเทศเพื่อนบ้าน ย่อมเลี่ยงไม่พ้นที่จะส่งผลต่อภาคการเกษตรและชนบทในภูมิภาคใกล้เคียง ในหลายกรณี การขยายตัวของสินค้าเกษตรส่งออกของจีน นโยบายแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำภาคเกษตร ในจีน ได้ส่งผลโดยตรงแล้วต่อเกษตรกรไทย ทั้งในเรื่องการตลาด ของสินค้าเกษตร ที่ทุ่มตลาดจากการเปิดเสรีทางการค้า ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากการสร้างเขื่อน และสุขภาวะของชนบทไทยโดยรวม จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเร่งทำการศึกษาและทำความเข้าใจ

วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ปฏิวัติสายพันธุ์ข้าวจีน

โดย รศ.พรชัย ตระกูลวรานนท์
สาขามานุษยวิทยา คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

หลายสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ เปิดดูข่าวทีวีครั้งไร ก็เห็นมีแต่ข่าวน้ำท่วม ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่าน คงรู้สึกเช่นเดียวกับผม ปีนี้น้ำมากจริงๆ ฝนมาเร็วและยาวเป็นพิเศษ ที่เคยเชื่อกันว่าวันเพ็ญเดือนสิบสองน้ำนองเต็มตลิ่ง อย่างในเพลงลอยกระทงที่คุ้นหู ดูจะไม่ใช่เสียแล้ว เพียงแค่เดือนสิบไทย ก็ปรากฏว่าท่วมไปแล้วกว่า 37จังหวัด ถึงเดือนสิบสองจะเป็นอย่างไรก็ยังไม่กล้าคิด ที่เป็นประเด็นข่าวดังติดตามมาจากเรื่องน้ำท่วม ก็คือข่าวความขัดแย้งกันของชุมชนเมืองกับเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ข่าวการบุกทะลายเขื่อนกันน้ำ ข่าวชาวนาต้องถือเคียวดำน้ำลงไปเกี่ยวข้าว ทั้งที่ข้าวยังโตไม่เต็มรวง และหนักสุด เห็นจะเป็นข่าวเถียงกันไปมาระหว่างรัฐบาลและฝ่ายค้านว่าจำนำกับประกันรายได้ อันไหนดีกว่ากันในสถานการณ์น้ำท่วมแบบนี้ ผมก็ไม่ใช่ผู้สันทัดกรณีเกี่ยวกับการปลูกข้าวหรือค้าข้าว  แต่ที่รู้แน่ๆ เหมือนทุกท่าน ก็คือ ดูเหมือนปีนี้ข้าวบ้านเราจะเสียหายหนักเป็นพิเศษ
ในขณะที่กำลังเหนื่อยใจกับปัญหาน้ำท่วมและความเสียหายของไร่นาในบ้านเรา ก็ไปเจอเอากับข่าวที่ทำให้ขัดแย้งในอารมณ์เพิ่มเติมยิ่งขึ้นอีกหนึ่งเรื่อง อันเป็นที่มาของประเด็นนำเสนอชวนท่านผู้อ่านคุยในสัปดาห์นี้ ข่าวที่ว่านี้ ผมอ่านพบในเซ็กชั่นข่าวเศรษฐกิจของหนังสือพิมพ์    ูงแม้เป็นเรื่องดีและคงเหรินหมิงของจีนฉบับวันเสาร์ที่ผ่านมา เนื้อข่าวบอกว่า บัดนี้จีนได้ดำเนินการเตรียมขยายพื้นที่การเพาะปลูกข้าวสายพันธุ์พิเศษที่พัฒนาขึ้นใหม่ ให้ครอบคลุมไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของพื้นที่ปลูกข้าวทั้งหมดของประเทศภายใน 3-5 ปีข้างหน้า ข่าวนี้เป็นผลสืบเนื่องต่อยอดจากรายงานข่าวก่อนหน้า เมื่อวันที่ 19 กันยายน ที่มีการแถลงความสำเร็จโดยบริษัท Yuan Long Ping High-Tech Agriculture Co., Ltd. ว่าสามารถพัฒนาสายพันธุ์ข้าวพิเศษที่ให้ผลผลิตจากแปลงทดลองจริงที่เพิ่งเก็บเกี่ยวเสร็จเมื่อกลางเดือนนี้ สูงถึง 13,900 กิโลกรัมต่อหนึ่งเฮกเตอร์ หากข่าวนี้เป็นจริงไม่ได้ใส่สี เมื่อเทียบเป็นพื้นที่ต่อไร่ ก็เท่ากับว่า สายพันธุ์ข้าวสุดวิเศษนี้ให้ผลผลิตสูงถึง 2,224 กิโลกรัมข้าวเปลือกต่อไร่ (หนึ่งเฮ็กเตอร์ เท่ากับ 6ไร่ 1 งาน) ผมเองตอนที่อ่านข่าวดูแรกๆ ก็ไม่ได้ตกใจอะไร รู้แต่ว่าถ้าเป็นจริงก็ถือว่าสูงมาก แต่พอตัดสินใจจะนำเอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็นในคอลัมน์คลื่นบูรพา ก็เลยไปทำการค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อเปรียบเทียบกับไทยเรา ถึงได้รู้ว่าเป็นตัวเลขที่น่าตกใจอยู่ เพราะหากดูจากตารางสรุปผลการเพาะปลูกข้าวของไทยเรา เมื่อฤดูการผลิตที่ผ่านมา ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ทั้งประเทศในฤดูนาปี เท่ากับ 394 กิโลกรัม แยกรายละเอียดเป็น ค่าเฉลี่ยภาคเหนือ 505 กิโลกรัมต่อไร่ ค่าเฉลี่ยภาคกลาง 535 กิโลกรัมต่อไร  ค่าเฉลี่ยภาคอีสาน 321 กิโลกรัมต่อไร ค่าเฉลี่ยภาคใต้ 356 กิโลกรัมต่อไร่ (ข้อมูลจากสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย)
เรื่องที่ประเทศจีนทั้งภาครัฐและเอกชน กำลังเร่งพัฒนาสายพันธุ์ข้าวกันยกใหญ่นั้น ไม่ใช่ว่าผมจะไม่ทราบ เรื่องนี้เป็นนโยบายเร่งด่วนของจีนมาตั้งแต่ปี 1994 ทว่าที่ผ่านมาผมเองก็ยังไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นตกใจอะไร เพราะดูเหมือนสายพันธุ์ข้าวพิเศษ ๆ ที่จีนคิดค้นได้นั้น แม้จะได้ผลดีอย่างไร ก็ยังมีปัญหาข้อจำกัดเรื่องช่วงแสง (ผมไม่แน่ใจว่าใช้คำผิดหรือเปล่า ท่านผู้รู้ในวงการข้าวอย่าถือสาผมเลยนะครับ) กล่าวคือ สามารถเพาะปลูกได้เฉพาะในพื้นที่พิเศษแถบมณฑลยูนาน กวางสี กวางตุ้ง อะไรทำนองนี้ ในพื้นที่อื่นๆ ของจีน ที่มีช่วงเวลากลางวันของฤดูนาปีสั้นเพาะปลูกไม่ได้ผล ไม่ใช่ว่าจะปลูกไปได้ทั่วประเทศ ประกอบกับที่ผ่านมา สายพันธุ์ข้าวพิเศษที่ว่าดีนักดีหนา ก็ยังจำกัดอยู่แค่ในแปลงทดลอง ไม่ใช่ว่าจะออกมาปลูกกันจริงจังเต็มบ้านเต็มเมืองกันไปหมด สายพันธุ์ข้าวชั้นดีที่จีนพัฒนาขึ้น จนถึงขั้นที่เอามาแจกให้เกษตรกรทดลองปลูกได้จริงอย่างทั่วถึง จำนวน 61 สายพันธุ์ ตั้งแต่กลางปี 2008 ก็มีผลผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ไม่เกิน 403 กิโลกรัมต่อหนึ่งหมู่ สายพันธุ์ ที่สูงสุดได้ 583.3 กิโลกรัมต่อหมู่ คิดเป็นต่อไร่ของไทยก็ประมาณ 967 กิโลกรัมข้าวเปลือก (หนึ่งหมู่เท่ากับ 666.7 ตารางเมตร หนึ่งไร่มี 2.399 หมู่) ถามว่าผลผลิตสูงกว่าของบ้านเราไหม ก็ต้องตอบว่าค่อนข้างสูง เกือบจะเป็นสองเท่าตัวของเรา แต่ก็ยังเป็นแค่การทดลองปลูกกระจัดกระจายตามพื้นที่ต่างๆ โดยเกษตรกรหัวก้าวหน้าที่อยากลองของใหม่ และจำนวนมากก็เพียงนำเมล็ดพันธุ์ที่ได้มาทดลองแค่หนึ่งหรือสองฤดู เสร็จแล้วก็หันกลับไปใช้สายพันธุ์เดิมที่ปลูกง่ายและคุ้นเคย
             ทว่า มาบัดนี้ เอกชนเจ้าดังกล่าวข้างต้น ใจกล้าถึงขั้นประกาศว่าพร้อมจะส่งเสริมขยายพื้นที่การเพาะปลูกข้าวสายพันธุ์พิเศษใหม่ ให้ครอบคลุมร้อยละ 20 ของพื้นที่ปลูกข้าวทั้งประเทศของจีนใน 3-5 ปี  เรื่องแบบนี้หากเกิดขึ้นได้จริง  ตลาดค้าข้าวภายในประเทศและการนำเข้าข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านของจีน คงจะผลิกโฉมหน้าไปเป็นคนละเรื่องเลยทีเดียว ประเทศจีนซึ่งมีพื้นที่เพาะปลูกข้าวอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 550ล้านหมู่ และเป็นประเทศที่ปลูกข้าวได้มากที่สุดในโลก แต่ที่ผ่านมา โดยเงื่อนไขปัญหาทางสภาพอากาศและปริมาณความต้องการบริโภคที่เพิ่มมากขึ้นทุกปี จีนก็ยังต้องนำเข้าข้าวจากประเทศอื่นอยู่ หากสายพันธุ์ข้าวใหม่ที่ว่านี้วิเศษจริงอย่างที่ว่า จีนอาจลดความจำเป็นในการนำเข้า และกระทบต่อตลาดข้าวทั่วทั้งภูมิภาคอย่างแน่นอน
ผมเห็นพวกเราในประเทศไทย เถียงกันมากเรื่องนโยบายข้าว ทั้งเรื่องจำนำดีหรือประกันรายได้ดีกว่า และเรื่องราคาข้าวเกวียนละ 15,000บาท อาจจะเป็นการดีกว่าหากพวกเราจะมาเถียงกันให้หนักยิ่งขึ้น โดยดูจากปัจจัยของภาพรวมตลาดข้าวในอนาคต ไม่ใช่จากประเด็นว่าข้าวถุงจะแพงขึ้นกี่บาท หรือชาวนาจะเอาเงินจำนำข้าวไปใช้จ่ายเปล่าประโยชน์กับเรื่องอะไร  ในอีกด้านหนึ่ง การรับจำนำข้าวด้วยราคาที่สูง แม้เป็นเรื่องดีและควรต้องทำ แต่ในเวลาเดียวกัน การส่งเสริมอาชีพทำนาให้เป็นเรื่องจริงจังและต่อเนื่องมากยิ่งขึ้น พร้อมๆ กับการพัฒนาเทคโนโลยีการเพาะปลูกและสายพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูง ก็มีความสำคัญและจำเป็นต้องรีบทำคู่ขนานกันไป

จุดเริ่มต้นสถานีอวกาศจีน

โดย รศ.พรชัย  ตระกูลวรานนท์
สาขามานุษยวิทยา
คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
                
              เมื่อปลายปีที่แล้ว ช่วงเดือนธันวาคม ตอนที่ประเทศจีนประกาศความสำเร็จของภารกิจการสำรวจดวงจันทร์ โดยยานสำรวจฉางเออร์2 ผมได้เคยนำเสนอท่านผู้อ่านเรื่องความก้าวหน้าในเทคโนโลยีอวกาศของจีนไปแล้วครั้งหนึ่งในคอลัมน์นี้ ว่าไปแล้ว การพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศของจีน ที่เพิ่งจะเริ่มต้นได้ไม่นานนัก ดูเหมือนจะก้าวหน้าเอาเรื่องอยู่พอสมควรทีเดียว  หากนับจากการส่งยานที่มีมนุษย์ควบคุมขึ้นไปโคจรรอบโลก  มาเป็นยานที่ไม่ต้องใช้มนุษย์ควบคุม (ฉางเออร์1 ปี2007 ) จนถึงฉางเออร์2 (2010) ดูเหมือนจีนใช้เวลาในการพัฒนาน้อยกว่าฝั่งตะวันตกอยู่มาก  หากว่าในชั่วเวลาเพียงหนึ่งทศวรรษจีนสามารถพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศได้ด้วยตัวเองขนาดนี้ เป็นเรื่องคาดเดาได้ไม่ยากเลยว่าในอีก 10-20 ปีข้างหน้า เทคโนโลยีอวกาศของจีนจะไปถึงขั้นไหน แน่นอนว่าคงต้องใช้เวลาอีกมากหากจะไล่จี้ให้ทันชาติตะวันตก แต่ด้วยเงื่อนไขอื่นๆที่ดูจะได้เปรียบกว่า (ทั้งฐานะเศรษฐกิจปัจจุบันและจำนวนนักวิทยาศาสตร์ที่มากกว่า) นักวิชาการและนักวิจัยฝ่ายจีนจำนวนมาก ต่างมั่นใจว่าจีนจะสามารถกลายเป็นหนึ่งในผู้นำเทคโนโลยีอวกาศของโลกได้ในที่สุด ถึงขนาดที่ทำให้ผู้นำระดับสูงของพรรคฯ ออกมาประกาศเมื่อปลายปีที่แล้วว่าจีนจะมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการสำรวจพรมแดนของจักรวาล  อีกทั้งยังได้ตั้งเป้าหมายว่าจีนจะสามารถสร้างสถานีอวกาศเพื่อการศึกษาทดลองในสภาวะไร้น้ำหนักได้ภายในปี 2016
              ในเวลานั้น ข่าวความก้าวหน้าของจีนในเทคโนโลยีอวกาศ ทำให้เกิดการคาดเดาต่างๆตามมาอีกมากจากนักวิเคราะห์ชาติตะวันตก  ตัวอย่างเช่น ข่าววงในเรื่องจีนวางแผนที่จะส่งยานสำรวจดาวอังคารภายในปี 2013 แม้จะยังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจนจากทางการหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบ แต่ดูเหมือนประเทศแถบตะวันตกต่างก็คาดเดาไปในทิศทางเดียวกันว่า จีนคงมีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่การสำรวจชั้นบรรยากาศและธรณีสัณฐานของดาวอังคาร เพื่อประเมินศักยภาพเชิงเศรษฐกิจของแหล่งแร่และทรัพยากรที่อาจจำเป็นสำหรับโลกในอนาคต  การส่งยานอวกาศทั้งฉางเออร์1 และฉางเออร์2 จึงอาจไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อการสำรวจดวงจันทร์แต่อย่างใด ทว่าเป็นการทดสอบเพื่อเบิกทางไปสู่การสำรวจดาวอังคารในอนาคตอันใกล้  โดยแนวทางการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญในเทคโนโลยีอวกาศของฝั่งตะวันตก สิ่งซึ่งจีนยังไม่มั่นใจคือระบบการสื่อสารทางไกลหากจะต้องส่งยานสำรวจที่ไม่มีมนุษย์ไปยังดาวอังคาร  เรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่งที่วงการวิทยาศาสตร์เฝ้าจับตาการพัฒนาของจีนอย่างมาก ก็คือข่าวที่จีนประกาศว่าจะสร้างสถานีอวกาศที่มีลูกเรือประจำการให้สำเร็จในราวปี 2016-2020 บรรดาข่าวกรองและนักวิเคราะห์ทางยุทธศาสตร์อวกาศตะวันตก ต่างก็รอดูว่าสถานีอวกาศนี้จะมีวัตถุประสงค์ทางการทหารเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่ เป้าสายตาที่เฝ้าดูกันอยู่ ก็คือตัวยานหลัก  Tiangong-1 (วิมานสวรรค์) และ Shenzhou-8 (ยานเทวะ) อันจะเป็นยานชุดแรกที่จะขึ้นไปประกบตัวเป็นส่วนกลางของสถานีอวกาศ ฐานส่วนกลางนี้ จะเป็นตัวบ่งชี้สำคัญว่าวัตถุประสงค์ระยะยาวของสถานีอวกาศจะเป็นไปเพื่ออะไร เพราะที่ทางการจีนประกาศไว้นั้น ยาน Tiangong1 เมื่อขึ้นไปประกบต่อเชื่อมแล้ว จะเป็นส่วนของสถานีทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่มีนักวิจัยและมนุษย์อวกาศอยู่ประจำ
                 มาบัดนี้จรวด Long March-2FT1 ได้นำยาน Tiangong1ส่งขึ้นสู่ตำแหน่งโคจร ที่340กิโลเมตรเหนือพื้นผิวโลกเรียบร้อยไปแล้วตั้งแต่เมื่อหัวค่ำของวันที่ 29 กันยายนที่ผ่านมา หากไม่นับกระแสข่าวหุ้นตกที่เข้ามาบดบังแย่งพื้นที่หน้าหนังสือพิมพ์ ก็ต้องเรียกว่าเป็นข่าวใหญ่โตมากข่าวหนึ่งของสัปดาห์ที่ผ่านมา  ยาน Tiangong1นี้จะลอยโคจรอยู่ประมาณหนึ่งเดือนก่อนที่ Shenzhou หมายเลข8 ซึ่งเป็นยานอวกาศไร้คนขับจะเดินทางไปต่อเชื่อมแบบอัตโนมัติโดยไม่ต้องมีนักบินอวกาศควบคุม หลังจากนั้นก็จะตามด้วยยาน Shenzhouหมายเลข9 และหมายเลข10 ในอีกสองปีข้างหน้า ซึ่งคาดว่าจะมีนักบินอวกาศเดินทางขึ้นไปด้วยและจะทำการต่อเชื่อมโดยมือมนุษย์ชาวจีนเป็นครั้งแรกในอวกาศ  ยานหลัก Tiangong1 นี้ มีช่องต่อเชื่อมที่สามารถรับยานอื่นๆได้หลายลำ เพื่อให้บรรลุตามโครงการสถานีอวกาศสถานีแรกของจีน หลังจากที่สหรัฐอเมริกาและรัสเซียได้นำหน้าไปแล้วในการสร้างสถานีอวกาศเพื่อการศึกษาทดลองทางวิทยาศาสตร์  ที่สำคัญและอาจเป็นข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่งที่หลายฝ่ายรอคอยสังเกตการณ์อยู่ ก็คือขนาดของยานหลัก Tiangong1 ที่มีปริมาตรภายในเพียง15ลูกบาศก์เมตร ชัดเจนว่าน่าจะเป็นสถานีอวกาศเพื่อการทดลอง มากกว่าที่จะมีศักยภาพในทางอื่นตามข่าวลือก่อนหน้านี้ สรุปว่านักคาดการณ์ทางการทหารก็ตกงานไปเรียบร้อย
                 นอกเหนือจากความสำเร็จที่จีนสามารถพัฒนาโครงการอวกาศของตนได้ตามแผนแล้ว การเข้าสู่วงโคจรของ Tiangong1 ยังช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ของจีน หายใจหายคอได้อย่างโล่งอกยิ่งขึ้น ด้วยเหตุว่าก่อนหน้านี้ นักวิทยาศาสตร์ค่ายตะวันตกจำนวนหนึ่ง ได้ตั้งข้อสังเกตวิจารณ์ว่าจรวดนำส่งตระกูล Long March ของจีน อาจไม่สามารถไว้ใจพึ่งพาได้ หากเจอกับงานใหญ่ๆ มีโอกาสที่จะทำผิดพลาดไปไม่ถึงวงโคจรหรือหลุดวงโคจรอะไรทำนองนั้น แม้ว่าจรวด Long Marchของจีนที่ทยอยพัฒนามาแต่ละรุ่น จะได้เคยส่งดาวเทียมทั้งของจีนและของต่างชาติ ขึ้นไปสู่วงโคจรโดยเรียบร้อยมาแล้วหลายสิบดวง แต่การนำส่งยานTiangong1 คราวนี้ จัดเป็นบทพิสูจน์อย่างสำคัญ ว่าจีนสามารถพัฒนาจรวดนำส่งตระกูล Long March นี้ ให้ถึงจุดที่สมบูรณ์เป็นมาตรฐานและสามารถไว้ใจพึ่งพาได้เต็มร้อย ทำให้เป็นประโยชน์และรับรองมาตรฐานความน่าเชื่อถือในอุตสาหกรรมดาวเทียมของจีนไปด้วยในตัว
               และเพื่อเป็นการยืนยันสมรรถนะของจรวดตระกูล Long March จีนก็เลยโฆษณาล่วงหน้าว่า ภายในปี 2020 จีนจะสามารถนำส่งชิ้นส่วนสถานีอวกาศน้ำหนักรวม 60 ตัน เพื่อขึ้นไปประกอบเป็นสถานีอวกาศที่สมบูรณ์ให้ได้ เรียกว่าเป็นการโฆษณาล่วงหน้าที่ท้าทายชาติมหาอำนาจทางอวกาศเจ้าอื่นๆ อย่างยิ่ง จะบอกว่าจีนเป็นตัวแทนชาวเอเชียในการแข่งขันทางเทคโนโลยีอวกาศ ก็ดูออกจะเป็นการตีขลุมแอบอ้างไปหน่อย แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าเราน่าจะต้องส่งกำลังใจช่วยลุ้นให้กับนักวิทยาศาสตร์ชาวจีน ให้สามารถสานฝันได้สำเร็จ ทั้งหมดนี้เพื่อความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์นะครับ ไม่ใช่แข่ง Star War กัน

อุตสาหกรรมรถยนต์จีน

โดย รศ.พรชัย ตระกูลวรานนท์
สาขามานุษยวิทยา คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
 
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมต้องเร่งปั่นต้นฉบับคอลัมน์คลื่นบูรพา ตั้งแต่กลางดึกคืนวันจันทร์ กว่าจะได้ส่งเข้าอีเมล์ของสำนักพิมพ์ ก็ล่วงเข้าเช้าวันอังคาร พอตกตอนสายวันอังคารก็ต้องออกเดินทางไปประเทศจีนอีกแล้ว ไปคราวนี้เป็นราชการของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พาคณะผู้บริหารระดับกลางของมหาวิทยาลัย ไปดูงานการจัดการด้านเทคโนโลยีและเจรจาความร่วมมือทางวิชาการกับมหาวิทยาลัยจี๋หนาน ที่มหานครกวางโจว ถือเป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่อายุกว่าร้อยปี และเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยชั้นนำของจีน โดยเฉพาะในทางภาคใต้  ไปเที่ยวนี้ก็จัดว่าได้งานได้การและสนุกสนานมากเป็นพิเศษ เหตุก็เพราะ ไม่ได้ไปนครกวางโจวเสียนาน ก็เลยได้มีโอกาสเรียนรู้อะไรใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น ที่สังเกตพบว่าเปลี่ยนแปลงไปมากในคราวนี้ ก็เห็นจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอุตสาหกรรมรถยนต์และระบบคมนาคมที่พัฒนาไปมาก(นับตั้งแต่ปี 2009 จีนได้กลายเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก) สัปดาห์นี้ผมก็เลยจะขอถือโอกาสชวนคุยเรื่องอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศจีน เอามารายงานท่านผู้อ่าน จะเข้ากันได้หรือไม่กับนโยบายรถคันแรกลดหนึ่งแสนของรัฐบาลบ้านเราหรือเปล่าก็ลองดูนะครับ
ที่ว่าอยากชวนคุยเรื่องอุตสาหกรรมรถยนต์ของจีน ก็เพราะในระหว่างที่เดินทางไปกวางโจวคราวนี้ เผอิญกำลังมีข่าวในแวดวงอุตสาหกรรมของจีนที่กำลังคิดอ่านวางแผนจะขยายฐานการผลิตรถยนต์จีนไปยังต่างประเทศ  เริ่มต้นที่อเมริกาใต้ และอาฟริกา ข่าวนี้ผมเองเดาว่าน่าจะมีสาเหตุมาจากเรื่องนโยบายภาษี และการส่งเสริมอุตสาหกรรมรถยนต์ภายในเพื่อทดแทนการนำเข้ารถยนต์ของประเทศต่างๆ ที่เดิมเคยเป็นตลาดรองรับการส่งออกของจีน ไม่น่าจะใช่ด้วยสาเหตุเรื่องความได้เปรียบในต้นทุนการผลิต อีกทั้งความคิดริเริ่มออกไปลงทุนนอกประเทศทำนองเช่นนี้ ก็ยังสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลจีน ที่อยากเห็นอุตสาหกรรมของจีนออกไปเปิดพื้นที่เปิดตลาดและแข่งขันลงทุนนอกประเทศมากยิ่งขึ้น อาศัยจังหวะที่เงินหยวนกำลังแข็งเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ อีกสาเหตุหนึ่งที่ไม่อาจมองข้ามก็คือ แนวโน้มตลาดรถยนต์ภายในประเทศของจีนเอง ขณะนี้ก็อาจเรียกได้ว่าอยู่ในภาวะชะลอตัว โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์ใช้งานราคาขนาดกลางและต่ำ หากพิจารณาจากตัวเลขผลสำรวจที่ได้จากผู้ประกอบการจีนในอุตสาหกรรมยานยนต์โดยรวม ที่วารสารและเว็ปไซต์ยานยนต์ Gasgoo ได้ทำการสัมภาษณ์กว่า 3,812ราย สรุปความเห็นว่าอัตราการขยายตัวยอดขายในครึ่งปีหลังโดยรวมในทุกกลุ่มชนิดรถยนต์ ไม่น่าจะถึงร้อยละ 5 สาเหตุหลักสำคัญที่ทำให้การขายภายในประเทศชะลอตัวไม่ร้อนแรงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านี้ (ปี 2010 ขายได้ 18 ล้านคัน ปี 2009 ขายได้ 13 ล้านคัน) อาจเนื่องจากตลาดถูกโหมโฆษณาและทำกิจกรรมส่งเสริมการขายไปล่วงหน้าแล้ว จนหมดกำลังซื้อในครึ่งปีหลัง บวกกับราคาน้ำมันขายปลีกภายในประเทศจีนปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ภาษีรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น และการสิ้นสุดโครงการของรัฐบาลอุดหนุนเงินที่ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยในการซื้อรถยนต์ และท้ายสุด ความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวมของผู้บริโภคชาวจีนที่ลดลง 
        ที่ยังพอมีอัตราการขายที่เพิ่มขึ้น กลับเป็นกลุ่มรถยนต์ราคาแพง อันนี้ดูได้ไม่ยากจากงานแสดงรถยนต์หรูที่เซี่ยงไฮ้ที่จัดขึ้นเมื่อตอนเดือนมีนาคม แม้ตลาดรถหรูรถแพงจะไม่จัดว่าเป็นตลาดรถยนต์หลักของจีน แต่ก็มีสัดส่วนมูลค่าไม่น้อยทีเดียว ในขณะที่ตลาดโดยรวมอาจดูไม่คึกคักมากนัก แต่ในตลาดระดับบนที่ว่านี้ อัตราการเติบโตยังคงไต่อย่างต่อเนื่องอยู่ที่เกินกว่าร้อยละ 10ต่อปี เป็นอย่างนี้ติดต่อกันมาไม่ต่ำกว่า 5ปีแล้ว ไม่ว่าน้ำมันจะแพงขึ้นเท่าไร รัฐบาลจะอุดหนุนหรือไม่ ภาษีจะแพงหรือถูก ผู้ซื้อในกลุ่มนี้ก็ยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้น ตามจำนวนเศรษฐีใหม่และคนชั้นกลางระดับบนที่เพิ่มมากขึ้นของจีน
ในอีกด้านหนึ่ง หากแผนการขยายการลงทุนและการเพิ่มฐานการผลิตใหม่ๆ ในต่างประเทศเป็นจริง อย่างน้อยที่สุดอาจกล่าวได้ไม่ผิดนักว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมรถยนต์ของจีนยังจัดว่าเป็นอุตสาหกรรมขาขึ้น และอาจเป็นหนึ่งในไม่กี่อุตสาหกรรมของจีนที่อัตราการเติบโตจะยังคงดำเนินต่อเนื่องไปได้อีกหลายปี ตัวเลขประมาณการของงานวิจัยที่จัดทำโดยศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาของรัฐบาลจีน ระบุว่า อุตสาหกรรมโดยรวมของยานยนต์จีนจะขยายตัวระหว่าง 3-4เท่าตัว ภายในปี 2020นั้นหมายความว่า ยอดขายต่อปีจะทะลุ 50ล้านคันต่อปีเป็นอย่างต่ำ เฉพาะหน้ามีบริษัท Chery Automobile Co., Ltd. ที่ผลิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถบรรทุกขนาดเล็กของจีน และเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของจีน ได้ไปลงทุนเปิดโรงงานผลิตรถยนต์ในประเทศบราซิล เมื่อเดือนกรกฎาคม ด้วยมูลค่าการลงทุนเบื้องต้น 400 ล้านเหรียญสหรัฐ กว่าจะเริ่มต้นผลิตรถยนต์ออกสู่ตลาดได้ก็น่าจะเป็นปี 2013 โดยChery Automobile Co, Ltd. ตั้งเป้าการผลิตไว้ที่ 50,000 คันในปีแรก และ 150,000-170,000คัน ในปีถัดๆ ไปเพื่อป้อนสู่ตลาดในประเทศอเมริกาใต้อื่นๆ นอกจากนี้ก็ยังมีข่าวของบริษัทผลิตรถยนต์บรรทุกของจีนที่มีฐานใหญ่อยู่ที่มหานครฉงชิ่ง ชื่อ Lifan Industry (Group) Co., Ltd. ได้เจรจาร่วมทุนกับโรงงานในบราซิล ลงทุนประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อพัฒนาสายพานการผลิตรถยนต์ขนาด 10,000 คันต่อปี เป็นการทดลองตลาดก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนเพิ่ม
บ้านเราตอนนี้กำลังตื่นเต้นกับข่าวเรื่องรถยนต์คันแรกลดหนึ่งแสน ตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการช่วยเหลือคนทำงานที่ยังไม่มีเงินมากนัก แต่ในทางปฏิบัติ ใครกันแน่จะเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์ ทั้งฝ่ายผู้ซื้อและฝ่ายผู้ผลิตรถยนต์ มาตรการดังกล่าวแม้ว่าจะเป็นมาตรการระยะสั้น แต่ผลกระทบที่จะเกิดกับตลาดรถยนต์ในปีหน้าและปีต่อๆ ไป จะเป็นอย่างไร คำถามเหล่านี้คงยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน คงต้องรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เมื่อเริ่มนับหนึ่งวิ่งแห่กันไปจองซื้อรถ แต่จากประสบการณ์ของจีน มาตรการอุดหนุนเพื่อแก้ปัญหาช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว ได้โหมตลาดกระตุ้นการซื้อ จนท้ายที่สุดกระทบต่อกลไกปรกติเดิมของตลาดรถยนต์ภายในประเทศ จีนอาจมีช่องทางแก้ปัญหา ด้วยการเร่งทำตลาดภายนอกมาชดเชยหล่อเลี้ยงอุตสาหกรรมของตน แต่เราคงไปเลียนแบบเค้าได้ลำบากอยู่