ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ ชุมชนแห่งความรู้ด้านจีนศึกษา


ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ชุมชนวิชาการจีนศึกษา

ชุดโครงการวิจัยจีนศึกษานี้ นอกจากจะมุ่งสร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ เพื่อให้ทันกับความจำเป็น และความต้องการของประเทศ ทั้งในแวดวงวิชาการชั้นสูงแล้ว ยังมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ในการบูรณาการความรู้ เพื่อวางแผนการพัฒนาประเทศ "ชุดโครงการวิจัยจีนศึกษา" จึงเป็นการมุ่งเปิดมุมมองการศึกษา เกี่ยวกับมิติทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองในชนบทจีน ความเปลี่ยนแปลงอันเป็นผลจากการพัฒนาทางอุตสาหกรรม กระบวนการ นคราภิวัตร คู่ความสัมพันธ์และขัดแย้งระหว่างเมืองและชนบทของจีน ปัญหาทางเศรษฐกิจ และ การปรับตัวของทั้งเมือง ต่อชนบท และทั้งของชนบทต่อเมือง อันเป็นผลพวงจาก นโยบายปฏิรูปเปิดกว้างของรัฐบาลจีนในช่วงเกือบ30ปี ที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบททางสังคมและการเมือง ซึ่งยังได้รับความสนใจศึกษาทางวิชาการไม่มากนัก ตลอดจนศึกษาผลกระทบจากการดำเนินนโยบายต่อภาคการเกษตรและการพัฒนาชนบทของจีนที่เกิดขึ้น การลงทุนภาคเกษตรของจีนในประเทศเพื่อนบ้าน ย่อมเลี่ยงไม่พ้นที่จะส่งผลต่อภาคการเกษตรและชนบทในภูมิภาคใกล้เคียง ในหลายกรณี การขยายตัวของสินค้าเกษตรส่งออกของจีน นโยบายแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำภาคเกษตร ในจีน ได้ส่งผลโดยตรงแล้วต่อเกษตรกรไทย ทั้งในเรื่องการตลาด ของสินค้าเกษตร ที่ทุ่มตลาดจากการเปิดเสรีทางการค้า ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากการสร้างเขื่อน และสุขภาวะของชนบทไทยโดยรวม จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเร่งทำการศึกษาและทำความเข้าใจ

วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555

ละครสั้นวันตรุษจีน

โดย รศ.พรชัย  ตระกูลวรานนท์
สาขามานุษยวิทยา
คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
            วันนี้เป็นวันชิวซา หรือขึ้นสามค่ำตามปฏิทินจันทรคติของจีน ยังนับว่าอยู่ในช่วงเทศกาลตรุษจีน คอลัมน์คลื่นบูรพาขอร่วมอวยพรท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน ทั้งที่เป็นแฟนประจำ และขาจรที่บังเอิญพลัดหลงเปิดหน้าหนังสือพิมพ์มาเจอเข้า ขอให้ทุกท่านมั่งมีศรีสุข ร่ำรวยเงินทอง อายุวัฒนะ สมปรารถนาในทุกสิ่งที่หวัง ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้ โดยทั่วกันครับ หากนับตามจารีตดิถีฤกษ์แบบจีน พรุ่งนี้ก็เป็นวันเริ่มต้นทำงานทำการกันแล้ว ใครเป็นเถ้าแก่ก็ขอให้รวยยิ่งๆ ขึ้น ใครเป็นมนุษย์เงินเดือนก็ขอให้เจริญก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งไวๆ
            ในช่วงนี้ของปีก่อนๆ ผมจำได้ว่าเคยนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับตรุษจีนมาหลายรูปแบบแล้ว ทั้งเรื่องราวความวุ่นวายของขบวนแรงงานจีนที่อพยพกลับไปฉลองเทศกาลตรุษจีนที่บ้าน เต็มทั้งรถไฟ รถโดยสาร และแม้แต่เครื่องบิน สภาพจราจรที่เป็นจลาจล ปัญหาความเครียดของผู้คนที่ต้องเร่งทำมาหาเงินสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในเทศกาลสำคัญนี้  ปีนี้พยายามจะหาเรื่องมานำเสนอไม่ให้ซ้ำกัน แต่ก็มึนๆงงๆ นึกหาเรื่องไม่ได้ จนกระทั้งเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ระหว่างที่นั่งรอไหว้เจ้ารับเทพแห่งความร่ำรวยมั่งคั่งไฉ่ซิ่งเอี้ย ก่อนจะถึงเวลาที่ท่านเทพจะลงมาโปรด (ปีนี้ตามตำราท่านลงมาตอนห้าทุ่มกว่าของไทย ทางด้านทิศใต้) ก็เลยเปิดทีวีดูรายการเฉลิมฉลองปีใหม่ของจีนจากช่องสถานีผ่านดาวเทียมต่างๆ ทั้งที่เป็นทีวีของมณฑลต่างๆและช่องสำคัญอย่างของสถานี CCTV ของส่วนกลาง รายการพิเศษทางทีวีที่จัดเพื่อเฉลิมฉลองตรุษจีน นับว่าเป็นไฮไลท์หลักของปี เพราะมีการถ่ายทอดผ่านดาวเทียมไปทั่วโลก และว่ากันว่ามีผู้ชมหลายร้อยล้านคนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยทั่วไป รายการทีวีโชว์นี้ก็มักประกอบด้วยรายการบันเทิงรูปแบบต่างๆบนเวที ทั้งการแสดงแสงสีไฮเทค ร้องเพลงโดยเหล่าศิลปินระดับชาติ ถ่ายทอดสดการอวยพรปีใหม่จากบรรดาผู้นำและวีไอพีต่างๆ มีผู้ชมซึ่งเป็นซีเล็ปเบอร์ตีจากวงการต่างๆทั้งในภาคราชการ ภาคธุรกิจ และดาราศิลปิน คละกันไปกับประชาชนที่ผ่านการคัดเลือกเป็นตัวแทนกลุ่มต่างๆ มาร่วมงานในห้องประชุมขนาดยักษ์ที่ใช้เป็นสถานที่จัดแสดงการเฉลิมฉลองและห้องถ่ายทอดสดไปพร้อมกัน
            ในระหว่างที่ผมนั่งชมการถ่ายทอดสดอยู่ ผมสังเกตเห็นว่าผู้ชมชาวจีนส่วนใหญ่ในห้องประชุมให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ กับรายการละครสั้นที่นำเสนอในปีนี้ เลยทำให้นึกถึงบทวิเคราะห์ที่นักวิชาการตะวันตกท่านหนึ่งเคยตั้งข้อสังเกตไว้เมื่อหลายปีก่อน (ชื่ออะไรผมก็จำไม่ได้แล้ว) ว่าหากต้องการทราบสภาพการณ์ทางสังคมในประเทศจีนแต่ละปี อาจสามารถวิเคราะห์ผ่านละครสั้นที่นำเสนอในงานฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ได้ ละครสั้นที่ว่านี้ ในภาษาจีนเรียกว่า “เสียวผิ่น” แปลตามตัวหนังสือหมายถึง สิ่งของชิ้นเล็ก แต่จริงๆแล้วหมายถึงรูปแบบละครสั้นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะในการสื่อสารความกับผู้ชม ส่วนใหญ่จะมาในรูปละครชวนหัวดูเพื่อความบันเทิง โดยให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับบทพูด และการแสดงออกของภาษากายและสีหน้า  รวมแล้วต้องสามารถทำให้คนดูเข้าใจอย่างชัดเจนได้ในเวลาอันจำกัดว่าต้องการสะท้อนหรือเสียดสีสังคมในเรื่องอะไร (ผมเองพยายามจะสอบถามท่านผู้รู้เพื่อเทียบเคียงกับรูปแบบละครของไทย แต่ก็ไม่ได้คำตอบว่าควรจะแปลความหรือหาตัวอย่างที่ตรงๆของไทยมาเทียบได้อย่างไร) การแสดงละครสั้นแบบ “เสียวผิ่น” น่าจะมีประวัติความเป็นมายาวนานในสังคมจีน แต่เฉพาะที่กลายมาเป็นการแสดงไฮไลท์สำคัญในรายการเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนทางทีวี จากการค้นคว้าอย่างเร่งด่วนของผม พบว่าเพิ่งเริ่มในปี 1992 นี้เอง กล่าวคือ เริ่มมีการจัดอันดับว่าละครสั้น “เสียวผิ่น” เรื่องใดได้รับความชื่นชอบมากที่สุด จากบรรดาละครสั้นนับร้อยเรื่องที่นำเสนอผ่านรายการพิเศษของสถานีช่องต่างๆในประเทศจีนช่วง 2-3 วันของปีใหม่ในแต่ละปี ดาราดังๆที่ประสบความสำเร็จได้รับความนิยมมากจนแจ้ง
            สำหรับรายการแสดงละครสั้น เสียวผิ่น ของปี 2012 นี้ แม้ยังไม่ได้มีการจัดอันดับว่าของสถานีไหนเรื่องใดได้รับความนิยมสูงสุด แต่รูปแบบเนื้อหาเกือบทั้งหมดก็ยังคงเป็นภาพสะท้อนเรื่องราวในสังคมจีน มีทั้งที่เป็นปัญหาสังคม มีทั้งที่เป็นการล้อเลียนข่าวดังข่าวใหญ่ในรอบปีที่ผ่านมา มีทั้งเรื่องราวชีวิตผู้คนที่เผชิญกับสังคมซึ่งกำลังเปลี่ยนแปลง แต่เรื่องที่ผมดูแล้วเกิดสนใจเป็นพิเศษ เป็น “เสี่ยวผิ่น”ของช่องCCTV4 ออกอากาศช่วงประมาณ 4 ทุ่มกว่าเวลาประเทศไทย เป็นเรื่องราวเสียดสีมาตรฐานธรรมาภิบาลของธุรกิจจีนที่ร่ำรวยขึ้นมาจากการฉ้อโกงเอาเปรียบประชาชน ทางการต้องส่งสายสืบปลอมตัวเข้าไปเป็นพนักงานทำความสะอาด สุดท้ายสามารถเปิดโปงเอาตัวมาลงโทษได้ ทีวีช่องอื่นๆ เท่าที่ไล่ดูก็มี เรื่องราวเกี่ยวกับผู้สูงอายุที่รอคอยลูกหลานกลับบ้าน ความไฝ่ฝันที่แตกต่างกันของคนต่างรุ่นอายุ อาชีพผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ปิดทองหลังพระ ฯลฯ หากเทียบกับละครสั้นของปีก่อนๆ ผมว่าก็พอจะเป็นดัชนีบ่งชี้ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับสังคมจีน
                        ผมนำเอาเรื่องละครสั้น “เสียวผิ่น” มานำเสนอท่านผู้อ่านในคราวนี้ ไม่ได้มีเจตนาจะชวนกันให้ไปดูละครจีนหรอกครับ เพียงแต่ประสงค์จะหมายเหตุเอาไว้เล็กๆ ว่าสังคมจีนเปลี่ยนแปลงไปมาก ปัญหาก็เยอะ ในแต่ละปีไม่ได้มีแต่เรื่องราวความสำเร็จไปเสียหมดทุกเรื่องอย่างที่พวกเราจำนวนหนึ่งเข้าใจ แต่ข้อต่างอย่างหนึ่งก็คือ จีนมีกลไกพิเศษทางวัฒนธรรม ในการสะท้อนภาพปัญหาเหล่านั้น นำเอามาตีแผ่ให้สังคมส่วนใหญ่ได้รับรู้กัน คงจะคล้ายๆขบวนพาเหรดล้อการเมืองในวันฟุตบอลประเพณีจุฬา-ธรรมศาสตร์นั่นแหละครับ

สรุป 10 ข่าวเด่นเศรษฐกิจจีนรอบปี 2011

โดย รศ.พรชัย  ตระกูลวรานนท์
สาขามานุษยวิทยา
คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา

                อย่างที่ได้ทิ้งท้ายเรียนท่านผู้อ่านไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว วันนี้ผมจะขอนำเสนอสรุป 10 ข่าวเด่นทางเศรษฐกิจในช่วงปี2011ที่ผ่านมา ทั้งสิบอันดับที่จะนำเสนอนี้ ขอเรียนว่ามาจากแหล่งข่าวต่างๆของจีน ผมขออนุญาตจัดอันดับเอาเองตามที่เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่ หรือจะว่าตามใจชอบของผมก็ได้ ท่านผู้อ่านอย่าถือสาหรือเอาไปอ้างอิงนะครับ หากประสงค์จะเอาไปอ้างอิงเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจหรือเอาไปทำรายงานส่งอาจารย์ ผมขอแนะนำให้เข้าไปดูการจัดอันดับ 10 ข่าวเศรษฐกิจเด่นปี2011ของสำนักข่าวเหรินหมิน หรือของซินหัว ก็ได้ ทั้งสองแหล่งนั้นจะเป็นทางการกว่า แต่ก็อย่างว่าแหละครับ นักวิจารณ์ทางเศรษฐกิจนานาชาติเขายังรู้สึกว่าสำนักข่าวทางการที่เป็นตัวแทนราชการจีน อาจจัดอันดับข่าวเด่นข่าวดังด้วยเหตุผลหลายอย่าง ไม่ใช่เพียงเพราะว่ามันเป็นเรื่องใหญ่จริงๆก็ได้ สำนักวิเคราะห์ตะวันตกส่วนใหญ่ก็ทำแบบที่ผมกำลังจะทำนี้แหละ คือจัดอันดับเอาเสียเองเลย ขอเข้าเรื่องเลยนะครับ
                         อันดับที่1 บทบาทเงินสกุลหยวนในตลาดโลกและภูมิภาค นับตั้งแต่ต้นปี2011 รัฐบาลจีนโดยธนาคารแห่งชาติของจีน ได้ออกประกาศเงื่อนไขแนวทางปฏิบัติในการอนุญาตให้ธนาคารและธุรกิจจีน สามารถส่งออกเงินกู้และการลงทุนไปต่างประเทศในรูปสกุลเงินหยวน มาเมื่อเดือนตุลาคม 2011 ธนาคารชาติของจีนก็ออกประกาศระเบียบว่าด้วยการอนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติ สามารถลงทุนในประเทศจีนในรูปสกุลเงินหยวน ทั้งสองเรื่องนี้แน่นอนว่าทำให้บทบาทของเงินหยวนในตลาดการเงินโลกคึกคักเพิ่มมากยิ่งขึ้นอย่างชัดเจน และที่สำคัญทำให้ธนาคารสัญชาติจีนขยายตัวเปิดสาขาหรือสำนักงานตัวแทนในต่างประเทศอย่างคึกคัก
                 อันดับที่2 อุตสาหกรรมรถยนต์จีนขยายตัวต่ำสุดในรอบ13ปี เมื่อเทียบเคียงกับปี2010 การผลิตรถยนต์ประเภทต่างๆของจีนลดลงร้อยละ31.6 ในขณะที่มูลค่าการขายลดลงร้อยละ29.9 ทำให้ตัวเลขทั้งปีของอุตสาหกรรมรถยนต์จีนในปีที่ผ่านมาเลวร้ายที่สุดในรอบ13ปี แม้ยังมีการขยายดัว แต่ก็เทียบไม่ได้เลยกับอัตราการขยายตัวของหลายปีก่อนหน้า


                อันดับที่3  ปริมาณสำรองเงินต่างประเทศทะลัก ธนาคารชาติจีนประกาศเมื่อวันที่13ที่ผ่านมานี้ว่า ปริมาณเงินสำรองที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศที่มีสะสมอยู่ณสิ้นปี2011 มีมูลค่ารวมสูงถึง 3.18 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มมากขึ้นกว่าเมื่อปี2010 ซึ่งมีอยู่ ณ สิ้นปีนั้น2.85 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เห็นตัวเลขแล้วปวดหัว คงไม่ต้องอธิบายความนะครับ ว่าสถานะทางการเงินของจีนเข้มแข็งขนาดไหน
                อันดับที่4 เหล้าเหมาไถ กลายเป็นแบรนด์ดังอันดับ 4 ของโลก อันนี้เป็นรายงานการจัดอันดับของนายหูหรุ่น แม้จะเพิ่งประกาศผลรางวัลในเดือนนี้ แต่ก็เป็นข้อมูลตัวเลขที่รวบรวมจากปีที่แล้ว ยี่ห้อของเหมาไถ (เฉพาะมูลค่าของแบรนด์นะครับ ไม่ใช่มูลค่าผลิตภัณฑ์ทั้งหมด) มีมูลค่าในตลาดโลกสูงถึง 12,000ล้านเหรียญสหรัฐ
               อันดับที่5 ภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าจีนทะลุ 256,000 ล้านหยวน เพิ่มขึ้นร้อยละ13.8 ส่วนใหญ่ก็เป็นภาษีที่ได้จากการนำเข้าพลังงาน สินแร่เหล็กและถั่วเหลือง นอกจากนี้สินค้านำเข้าประเภทฟุ่มเฟือยก็มีเพิ่มมากขึ้น
              อันดับที่6 ครบรอบ 10ปี จีนเข้าเป็นสมาชิก WTO ในช่วงสิบปีนี้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย ที่สำคัญจีนได้ปรับปรุงการจัดเก็บภาษีลดลงจาก 15.3 เหลือ 9.8 ตามเงื่อนไขขององค์กรการค้าโลก ที่น่าทึ่งกว่านั้นก็คือ จีนอ้างว่าได้ดำเนินการแก้ไขกฎหมาย ข้อบังคับ และระเบียบต่างๆ ทั้งในระดับประเทศและของท้องถิ่นไปทั้งสิ้นกว่า 192,300 ฉบับ ใน 10 ปีที่ผ่านมา
            อันดับที่7 การเพิ่มกำลังซื้อด้วยการลดภาษีเงินได้ จีนได้ประกาศแก้ไขกฎหมายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาฉบับใหม่ และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เมื่อวันที่1 กันยายน 2011เป็นต้นมา สาระสำคัญคือ ขยับเพิ่มเงินได้ขั้นต่ำที่จะต้องเสียภาษีจาก2,000หยวนไปเป็น3,500หยวนต่อเดือน อีกทั้งยังปรับแก้อัตราภาษีขั้นบันไดแรกจากเดิมร้อยละ5เป็นร้อยละ3(กลุ่มผู้มีรายได้ช่วง 3,500-4,500 หยวนต่อเดือน) ทำให้ฐานภาษีบุคคลธรรมดาที่กินเงินเดือนหายไปเยอะ จากเดิมร้อยละ 28 ของมนุษย์เงินเดือนต้องจ่ายภาษี เหลือเพียงแค่ร้อยละ7.7 เท่านั้น โดยหวังว่ามาตรการใหม่นี้จะช่วยเพิ่มกำลังซื้อให้ตลาดจีนได้อีกมาก
              อันดับที่8  กำหนดโควตาซื้ออสังหาฯ ข่าวหลายปีติดต่อกันมาเกี่ยวกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของจีนมักออกมาในแนวว่า ร้อนระเบิด ฉุดไม่อยู่ อะไรทำนองนั้น มาในปี2011กลับปรากฏว่าราคาต่อหน่วยของอสังหากริมทรัพย์จีนตามหัวเมืองใหญ่ๆ ลดวูปลงไม่ร้อนแรงอย่างที่เคย สาเหตุหลักก็มาจากมาตรการกำหนดข้อจำกัดในการเช่าซื้อหรือซื้ออสังหาริมทรัพย์ เพื่อป้องกันการเก็งกำไร อันส่งผลให้คนทำงานหาเช้ากินค่ำที่ต้องการที่อยู่อาสัยจริงๆพากันเดือดร้อนเพราะเหตุบ้านราคาแพงเกินอุปสงค์จริงของตลาด เฉพาะอย่างยิ่งในหัวเมืองใหญ่ๆ หลายสิบแห่งของจีน ที่มีปัญหานี้กันมาก เชื่อกันว่ามาตรการนี้น่าจะใช้ได้ผลดีในระยะหนึ่ง สามารถฉุดราคาบ้านลงมาได้ แต่ในระยะยาวคนที่หวังเก็งกำไรก็อาจพลิกแพลงหาหน้าม้ามาจองซื้อแทน ต้องรอดูกันต่อไป
              อันดับ9 ข่าวท้องถิ่นจีนออกพันธบัตร เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา รัฐบาลกลางที่ปักกิ่ง ได้อนุญาติให้รัฐบาลท้องถิ่นของจีนจำนวน4แห่ง ได้รัฐบาลนครเซี้ยงไฮ้ นครเสิ่นเจิ้น รัฐบาลมณฑลเจ้อเจียง และรัฐบาลมณฑลกวางตง ทดลองนำร่องออกจำหน่ายพันธบัตร เพื่อระดมเงินมาใช้ลงทุนในโครงการต่างๆ จะเรียกว่าเป็นมิติใหม่ก็ได้ และเชื่อว่าปีใหม่นี้อาจมีการอนุญาตเพิ่มเติมอีก
               อันดับที่10 รถไฟฟ้าความเร็วสูง ปี2011เป็นปีที่สร้างชื่อทั้งทางบวกและทางลบให้กับอุตสาหกรรมรถไฟฟ้าความเร็วสูงของจีน เริ่มต้นด้วยความสำเร็จในเทคโนโลยีสัญชาติจีนที่พัฒนาต่อยอดจากเยอรมันนีและญี่ปุ่น ประสบความสำเร็จในการเจรจาลงทุนในต่างประเทศทั้งเวียตนาม พม่า ลาว และประเทศไทย แล้วอยู่ๆก็เกิดเหตุระบบขัดข้องตกรางเอาเสียเองในประเทศ กลายเป็นข่าวดังเสียหายไปหมด
                         สัปดาห์นี้ว่ากันเนื้อๆแน่นๆ หมดหน้ากระดาษแล้วครับ

วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2555

สรุปข่าวเด่นรอบปี

โดย รศ.พรชัย  ตระกูลวรานนท์
สาขามานุษยวิทยา
คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
                   สวัสดีปีใหม่ 2555  ทักทายปีใหม่ท่านผู้อ่านที่รักของคอลัมน์คลื่นบูรพาล้าช้าไปหน่อย แต่ก็คงยังไม่สาย ถือว่ายังอยู่ในเดือนมกราคมนะครับ สัปดาห์ที่ผ่านมาผมขอใช้สิทธิ์หยุดยาวปีใหม่ เลยไม่ส่งต้นฉบับ ขอยกยอดมาเริ่มเปิดคอลัมน์รับปีใหม่ในสัปดาห์นี้แทน ช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไปแล้วก็ว่าได้ ต้องมีการจัดอันดับเรื่องราวของรอบปีที่ผ่านมาว่ามีอะไรเป็นข่าวเด่นข่าวดังบ้าง ในคอลัมน์คลื่นบูรพา ผมเองก็อิงแนวทางตามแฟชั่นเช่นนี้มาสองปีแล้ว ก็จะขออนุญาตรับปีใหม่ด้วยการรายงานผลการจัดอันดับข่าวใหญ่ของปี 2011 ที่ผ่านมา เพื่อประโยชน์ในการสรุปภาพรวมประเทศจีนไปในตัว อย่างไรก็ดี เช่นเดียวกับในประเทศไทยและที่อื่นๆทั่วโลก การจัดอันดับข่าวดังมักแยกประเภทตามความสนใจหลักของสื่อแต่ละแขนง ในสัปดาห์นี้ ผมจะขอนำเอาภาพรวมข่าวใหญ่มาเสนอก่อน ส่วนข่าวเด่นในด้านต่างๆค่อยว่ากันอีกที เพราะข่าวที่น่าสนใจสำหรับท่านผู้อ่านที่รักและสำหรับตัวผมเอง ก็คงจะเป็นเรื่องหลักๆทางการเมืองและเศรษฐกิจ คงไม่ต้องรายงานไปถึงอันดับเพลงอันดับหนังหรือละครทีวีหรอกครับ
                  10 อันดับข่าวใหญ่ระดับชาติของจีนที่ผมจะนำมาเสนอนี้ รวบรวมเปรียบเทียบมาจากสองแหล่ง คือ จากหนังสือพิมพ์เหรินหมินและนิตยสารปักกิ่งรีวิว เรียงลำดับทั้งข่าวที่เหมือนและที่ต่างกัน ได้ออกมา 10 อันดับดังนี้ครับ
                   อันดับที่1ข่าวการประกาศใช้แนวทางพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมตามยุทธศาสตร์แผน 5 ปีฉบับที่12 (2011-2015) ซึ่งเน้นการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ประหยัดพลังงานและใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีคุณค่าสูงสุด นอกจากนั้นยังเป็นแผนพัฒนาที่มุ่งส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้กับผู้คนในชนบท เพื่อลดช่องว่างระหว่างเมืองและชนบทให้น้อยลง กำหนดเป้าหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ร้อยละ 7ต่อปี ไม่ร้อนแรงเกินไปแต่ก็ยังสามารถขยายตัวได้อย่างยั่งยืน
อันดับที่2การประชุมใหญ่เฉลิมฉลองโอกาสครบรอบ 90 ปีการก่อตั้งพรรคคอมมิวนีสต์จีน ในงานฉลองเมื่อ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา ท่านประธารฯหู จินเทา ยืนยันว่า 90 ปีมานี้ พรรคฯได้บรรลุภารกิจสำคัญสามด้าน คือ หนึ่ง ยืนหยัดเคียงข้างประชาชนชาวจีน สองปฏิวัติสังคมและสถาปนาระบอบสังคมนิยมประชาธิปไตยได้สำเร็จลุล่วง และสามปฏิรูปเปิดกว้างพัฒนาสังคมนิยมตามเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัวของประเทศจีน
อันดับที่3การพัฒนาการขยายตัวของอุตสาหกรรมทางวัฒนธรรมในระบบเศรษฐกิจจีน อันเป็นผลมาจากมติที่ประชุมคณะกรรมการกลางของพรรคฯครั้งที่17เมื่อเดือนตุลาคม ให้ส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมด้านนี้อย่างเต็มที่ เพราะเชื่อมั่นว่ามีศักยภาพสูง
อันดับที่4มาตรการเกี่ยวกับคุณภาพความปลอดภัยในอาหาร สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ครึกโครมเกี่ยวกับปัญหาอาหารไม่ได้มาตรฐานและมีสารพิษเจือปน หลายครั้งก่อนหน้านี้ รัฐบาลจีนก็เลยออกมารณรงค์เป็นการใหญ่ ไล่จับกับทั่วประเทศได้หลายพันคดี ส่งผู้ทำผิดเข้าคุกไปกว่า700คน
อันดับที่5ข่าวฉาวในวงการสาธารณกุศลของจีน กลายเป็นเรื่องให้นินทามาตั้งแต่กลางปี เมื่อปรากฏว่ามีผู้แอบอ้างเรี่ยไรเงินโดยใช้ชื่อสภากาชาดจีนเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวและน้ำท่วม ได้เงินเข้ากระเป๋าตัวเองไปหลายล้านหยวน ทำให้รัฐบาลต้องออกมากำกับควบคุมการเรี่ยไรเงินขององค์กรการกุศลและโครงการCSRขององค์กรธุรกิจทั้งหลายไปพร้อมๆกัน
อันดับที่6ความสำเร็จครั้งสำคัญในเทคโนโลยีอวกาศของจีน เมื่อการส่งชิ้นส่วนเชื่อมต่อสถานีอวกาศดำเนินการไปได้ตามแผน พิสูจน์ความสำเร็จและพัฒนาการเทคโนโลยีจีนทั้งของจรวดส่งลองมาร์ช ยานนำส่งเสินโจว และตัวสถานีอวกาศเทียนกง
อันดับที่7ข่าวการยกระดับคุณภาพชีวิตและแก้ไขปัญหาความยากจนในชนบทของจีน ตามตัวเลขของทางการจีน อ้างว่าได้ดำเนินการตามแผนประสบความสำเร็จ ทำให้รายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปีของประชากรในชนบทกระโดดเพิ่มขึ้นเป็น 2,300หยวน สูงกว่าตัวเลขของปี2010ถึงร้อยละ80
อันดับที่8อุบัติเหตุด้านสิ่งแวดล้อมครั้งใหญ่ของจีน เมื่อสถานีขุดเจาะน้ำมันสัญชาติอเมริกันของบริษัทโคโนโคฟิลิปส์ทำน้ำมันรั่วปนเปื้อนครอบคลุมพื้นที่ถึง6,200ตารางกิโลเมตรในทะเลป๋อไห่ทางชายฝั่งตอนเหนือของจีน จัดเป็นอุบัติเหตุสิ่งแวดล้อมทางทะเลที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์จีน และนำไปสู่คดีความฟ้องร้องบริษัทโคโนโคฟิลิปส์มากมายนับร้อยคดี เฉพาะในส่วนชาวประมงและผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของจีน มูลค่าความเสียหายที่เรียกร้องในศาลสูงถึง 490ล้านหยวน
อันดับที่9ข่าวความสำเร็จในการเนรมิตสร้างเมืองใหม่ เหวินชวน ทดแทนที่ถูกแผ่นดินไหวเสียหายไปหมดทั้งเมืองในมณฑลเสฉวน หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งร้ายแรงผ่านไปครบสามปี รัฐบาลจีนแถลงว่าประสบความสำเร็จในการบูรณะพลิกฟื้นคืนชีวิตให้กับเมืองนี้ ใช้งบประมาณบูรณะไปทั้งสิ้น885.1พันล้านหยวน
อันดับที่10ข่าวความสำเร็จในการทดสอบปฏิบัติการเดินเรือและทำการฝึกซ้อมภารกิจจริงทางทะเลเป็นเวลา5วัน ระหว่างวันที่10-14สิงหาคม ของเรือบรรทุกเครื่องบินลำแรกของจีนขนาด58,500ตัน นับเป็นการเปิดตัวครั้งสำคัญของจีนในการก้าวขึ้นสู่ความเป็นมหาอำนาจทางทะเลรายใหม่ ที่ทั่วโลกต้องจับตามอง
                  เป็นอันจบครบ 10 อันดับ สัปดาห์หน้าผมจะนำเสนอ 10 อันดับข่าวใหญ่ทางเศรษฐกิจเป็นการต่อเนื่องจากคราวนี้ หวังว่าจะไม่ทำให้ท่านผู้อ่านเบื่อหน่ายซะก่อนนะครับ

วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2555

จากรถไฟฟ้าถึงการสวอปสกุลเงินไทย - จีน

โดย รศ.พรชัย  ตระกูลวรานนท์
สาขามานุษยวิทยา
คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
            ข่าวการเดินทางมาเยี่ยมเยือนประเทศไทย ของรองประธานาธิบดีจีน นายสี จิ้นผิง เป็นข่าวใหญ่สำคัญของทั้งประเทศไทยและประเทศจีน อย่างชนิดที่คอลัมน์เล็กๆ เช่น คลื่นบูรพายังไงก็ต้องพูดถึง ไม่เช่นนั้นก็ถือว่าตกข่าวอย่างแรง ที่ว่าเป็นข่าวสำคัญ ก็เพราะตัวท่านผู้มาเยือนท่านนี้ ไม่เพียงเป็นรองประธานาธิบดีของประเทศยักษ์ใหญ่เช่นจีน แต่ยังเป็นผู้นำจีนรุ่นใหม่ที่ถูกวางตัวให้ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนต่อไปของจีน สืบต่อจากนาย หู จิ่นเทา อีกประการหนึ่งที่การมาเยือนในคราวนี้มีความหมายพิเศษก็ด้วยเหตุที่ประเทศไทยและจีนได้บรรลุข้อตกลงและมีพิธีร่วมลงนามความร่วมมือสำคัญถึง 6 ฉบับ  และเป็นที่มาของหัวเรื่องที่ผมจะชวนคุยในวันนี้ นาย สี จิ้นผิง นับเป็นผู้นำจีนที่จัดว่าหนุ่มมาก อายุเพิ่งจะ 58 ปี สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกทางนิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชิงหัว เข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อเดือนมกราคมปี 1974 และผ่านตำแหน่งสำคัญๆ ของจีนมาเป็นลำดับ เช่น ตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ของมณฑลเจ้อเจียง รักษาการผู้ว่าราชการมณฑลเจ้อเจียง เลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์นครเซี่ยงไฮ้ จนถึงปี 2007 จึงได้รับการแต่งตั้งจากที่ประชุมให้เข้ามาดำรงตำแหน่งสำคัญในส่วนกลาง ทำหน้าที่กรรมการประจำกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน เลขาธิการสำนักเลขาธิการคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน กรรมการสำรองของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนสมัยที่ 15  กรรมการคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนสมัยที่ 16 และ 17 กรรมการกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน กรรมการประจำกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน เลขาธิการของสำนักเลขาธิการคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนสมัยที่ 17 และเมื่อการประชุมพรรคฯปีที่ผ่านมา ที่ประชุมได้กำหนดตัวนายสี จิ้นผิงให้เป็นผู้สืบต่อตำแหน่งเลขาธิการพรรคฯและตำแหน่งประธานาธิบดีแทนนายหู จิ่นเทา ที่จะครบวาระในอีก 1 ปี นายสี จิ้นผิง จะกลายเป็นผู้นำจีนที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์จีนใหม่
            ผมใช้พื้นที่ไปเสียเยอะในการแนะนำความเป็นมาของรองฯ สี จิ้นผิง ก็เพราะต้องการให้ท่านผู้อ่านได้ตระหนักว่าการมาเยือนคราวนี้มีความหมายและความสำคัญมาก และอาจเป็นเงื่อนไขที่ทำให้การเจรจาความร่วมมือสำคัญๆ ที่ลงนามกันไปนั้นสำเร็จผลอย่างรวดเร็ว ข้อตกลงทั้ง 6 ฉบับได้แก่
            1. หนังสือรับมอบความช่วยเหลืออุทกภัย
            2. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาอย่างยั่งยืนไทย-จีน แบ่งออกเป็น 4 ด้าน คือ ด้านการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ และระบบรางอื่นๆ ด้านการพัฒนาระบบบริหารการจัดการน้ำอย่างครบวงจร ด้านการวิจัยพัฒนาพลังงานสะอาด พลังงานหมุนเวียน พลังงานทดแทน และด้านการพัฒนาการศึกษาและทรัพยากรมนุษย์ในประเทศไทย
            3. สนธิสัญญาว่าด้วยการโอนตัวผู้ต้องหาตามคำพิพากษา เป็นการขอโอนและการรับโอนตัวผู้ต้องโทษตามคำพิพากษาระหว่างไทยกับจีน
            4. แผนปฏิบัติการว่าด้วยความร่วมมือด้านวัฒนธรรมระหว่างปี 2554-2556 
            5. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางทะเล เป็นความร่วมมือด้านการศึกษาวิจัยด้านสมุทรศาสตร์ และระบบนิเวศวิทยา
            6. ความตกลงว่าด้วยการแลกเปลี่ยนเงินตราแบบทวิภาคีระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทยกับธนาคารกลางจีน เป็นสัญญาที่แลกเปลี่ยนเงินสกุลหยวนและเงินบาทระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทยและธนาคารกลางของประเทศจีน เพื่อช่วยส่งเสริมการลงทุนระหว่างกันและการพัฒนาเศรษฐกิจระหว่างประเทศมีอายุเวลา 3 ปีและมีวงเงิน 7 หมื่นล้านหยวน หรือ 3.2 แสนล้านบาท
            ผมสังเกตพบว่า สาธารณชนคนไทยเรารับรู้เรื่องราวข้อตกลงความร่วมมือมากมายในคราวนี้ แบบเงียบๆ ชอบกลอย่างไรอยู่ แม้จะมีเสียงโมทนาสาธุเห็นดีเห็นงามด้วยในบางเรื่องที่ตกลงกัน ก็ดูเหมือนจำกัดอยู่ในแวดวงนักธุรกิจบ้างส่วนเท่านั้น อีกทั้งหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับข้อตกลงแต่ละฉบับ ก็ไม่เห็นได้ออกมาแถลงชี้แจงรายละเอียดให้สาธารณชนรับรู้รับทราบ ว่าผล(ดี?)จากความร่วมมือเหล่านั้นจะนำพาประเทศไทยไปในทิศทางใด เห็นก็เพียงธนาคารแห่งประเทศไทยที่ออกมาอธิบายความเพิ่มเติมนิดหน่อย ว่าการทำสวอปเงินข้ามสกุลระหว่าง บาท-หยวน จะช่วยขยายการค้าขายให้สะดวกยิ่งขึ้นมากน้อยอย่างไร แม้จะยังไม่ชัดเจนพอจะทำให้ชาวบ้านธรรมดาเข้าใจได้ แต่ก็ยังนับว่าได้ออกมาทำหน้าที่อธิบาย ต่างจากหน่วยงานอื่นๆ ที่ยังเงียบอยู่ เลยทำให้อดสงสัยใจไม่ได้ว่า บรรดาข้อตกลงความร่วมมือทั้งหลายที่ทำไปในคราวนี้ มีที่มาอย่างไร เป็นความประสงค์ร่วมกันที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายและผ่านการศึกษาวิเคราะห์ผลได้เสียมาอย่างดี มีรายละเอียดครบถ้วนแล้ว หรือเป็นเพียงกรอบความร่วมมือเปล่าๆกลวงๆ ที่ยังไม่มีรายละเอียด และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องก็ยังงงๆ ว่าต้องทำอะไรต่อหรือไม่มากน้อยแค่ไหน ในทางตรงกันข้ามเมื่อมองจากบรรดาสื่อและเว็ปไซต์ของจีน ดูเหมือนเขาจะตื่นตัวและมีรายละเอียดมากมายออกมาเผยแพร่ หรือแม้แต่ข้อแนะนำว่าความร่วมมือเหล่านี้จะเป็นประโยชน์และธุรกิจประเภทใดควรจะรีบเข้ามาลงทุนในไทย อีกทั้งยังมีการวิเคราะห์ป้องกันความเสี่ยงด้วยการกู้เงินจากธนาคารพานิชย์ในประเทศไทยเปรียบเทียบกับการกู้เงินสกุลหยวนเพื่อนำเข้ามาลงทุนฯลฯ
            ผมเองคงไม่รู้สึกเดือดร้อนเท่าไรนัก หากประเด็นข้อตกลงจะเป็นเพียงกรอบเปล่าๆกลวงๆ ไม่ได้ตั้งใจจะอะไรจริงจัง แต่พอดูในรายละเอียดคร่าวๆ แต่ละรายการเช่นเรื่องรถไฟความเร็วสูง ผมว่ามูลค่าคงจะหลายแสนล้านอยู่ เรื่องแบบนี้ คนไทยทั่วไปไม่ต้องรับรู้หรือเอามาคุยกันหน่อยหรือครับ