โดย รศ.พรชัย ตระกูลวรานนท์
สาขามานุษยวิทยา
คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
สัปดาห์นี้ ผมต้องขออนุญาตท่านผู้อ่านคุยเรื่องร้อนที่ไม่น่าจะสบายใจนัก ตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่แล้ว ต่อเนื่องมาถึงเวลานี้ที่ผมกำลังเขียนต้นฉบับอยู่ มีข่าวใหญ่เกิดขึ้นในพื้นที่มองโกเลียในของจีน เป็นเหตุประท้วงที่มีแนวโน้มจะลุกลามขยายตัวเป็นเรื่องใหญ่ สาเหตุสำคัญมาจากความขัดแย้งเรื่องทำมาหากินระหว่างชนเผ่าชาวมองโกล ที่ยังชีพด้วยการเลี้ยงปศุสัตว์แบบเปิดกับกลุ่มธุรกิจทำเหมืองถ่านหินซึ่งเป็นชาวจีนฮั่นตั้งแต่เกิดเรื่องมาจนปัจจุบัน ดูเหมือนจะมีความพยายามปิดไม่ให้เป็นข่าวในบรรดาสื่อหลักของจีน แต่ภายนอกประเทศ กลับมีสื่อมวลชนให้ความสำคัญจับตาดูและรายงานข่าวอย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลหลายประเทศก็เริ่มออกมาแสดงความห่วงใยเกรงว่ารัฐบาลจีนจะใช้ความรุนแรงปราบปราม เพื่อให้การประท้วงยุติโดยเร็วไม่ให้ยืดเยื้อออกไปกว่านี้อีกเพราะนี่ก็เข้าใกล้วันที่ 4 มิถุนายน ซึ่งร่ำลือกันในโลกไซเบอร์ของจีน ว่าจะมีการชุมนุมทางการเมืองครั้งใหญ่ เพื่อรำลึกเหตุการณ์เทียนอันเหมินเมื่อปี 1989
เรื่องราวความขัดแย้งจนนำไปสู่การประท้วง เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นเดือนพฤษภาคม เมื่อมีกลุ่มชาวมองโกลที่มีอาชีพเลี้ยงปศุสัตว์ รวมตัวกันประมาณสองร้อยกว่าคน ปิดถนนทางเข้าเหมืองถ่านหินแห่งหนึ่งของชาวฮั่น เพื่อประท้วงผลกระทบที่กิจกรรมทำเหมืองถ่านหินส่งผลต่อทุ่งหญ้าที่ชาวมองโกลใช้เลี้ยงสัตว์ ยิ่งไปกว่านั้น การเข้ามาของชาวจีนฮั่นและกิจกรรมทางเศรษฐกิจรูปแบบต่างๆ ยังส่งผลต่อวิถีชีวิต และวัฒนธรรมประเพณีในพื้นที่อีกด้วย มาเมื่อวันที่9พฤษภาคม หลังจากการชุมนุมปิดถนนแค่สองวัน หนึ่งในผู้นำกลุ่มประท้วง ตามข่าวบอกว่าชื่อนายเมอร์เจน ก็มีอันถูกรถบรรทุกชนเสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ผู้เห็นเหตุการณ์ต่างยืนยันว่าไม่ใช่อุบัติเหตุแน่นอน เพราะชาวฮั่นที่ขับรถชนดูจะมีเจตนาชัดเจนว่าต้องการชนให้ถึงตาย เพราะเหยื่อถูกรถยนต์ลากไปไกลกว่ากว่า 140 เมตรหลังจากชนแล้ว เรียกว่าเป็นการฆาตกรรมตัดตอนแกนนำม็อบว่างั้นเถอะ รัฐบาลท้องถิ่นก็ดูเหมือนจะไม่ใส่ใจจัดการอำนวยความยุติธรรมให้เห็น กลับงึมงำๆทำท่าจะเงียบหายปัดเป็นคดีอุบัติเหตุจราจรไปซะงั้น ยิ่งไปกว่านั้น ถัดมาอีก5วัน ก็เกิดเหตุชาวแมนจูในพื้นที่ใกล้เคียงปะทะกับคนงานเหมืองชาวจีน ผลปรากฏมีชาวแมนจูเสียชีวิตอีกหนึ่งราย
มาเมื่อกลางสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากที่ชุมชนชาวมองโกลนั่งรอมาหลายวัน ก็ไม่เห็นกระบวนการยุติธรรมของจีนทำงานซะที เกิดปรากฏการณ์ทาง Social Media มีคนส่งข้อความสั้นผ่านสารพัดสื่อ เรียกร้องชาวมองโกลทั่วเมืองซีลินฮ๊อท ให้ออกมาชุมนุมกันหน้าอาคารที่ทำการรัฐบาล ฝ่ายตำรวจจีนพอรู้ข่าวก็ออกมาสกัดตามเส้นทางต่างๆ ตามรายงานของสื่อนอกบอกว่ามีคนออกมาหลายพัน เกิดการปะทะทำลายข้าวของกันวุ่นวายพอสมควร แต่สื่อของจีนบอกเพียงมีการชุมนุมในเวลาอันสั้นแล้วก็แยกย้ายไป ผมก็ไม่อยู่ในเหตุการณ์เลยไม่รู้จะเชื่อใคร แต่ที่แน่ๆมาถึงตอนนี้เห็นว่าทางรัฐบาลประกาศกฏอัยการศึกไปเรียบร้อยแล้ว แสดงว่าสถานการณ์คงไม่ธรรมดา
เรื่องราวความขัดแย้งในทำนองเช่นนี้ หากจะว่ากันตามจริงและเป็นธรรม ก็ต้องบอกว่าไม่ได้เกิดเฉพาะกับชนกลุ่มน้อยเท่านั้น ก่อนหน้านี้ก็มีเหตุการเสียชีวิตของชาวจีนฮั่นในมณฑลเจ้อเจียง คุณเฉียนหยุนฮุ้ย ลุกขึ้นมาร้องเรียนต่อสู้ เรื่องผลกระทบที่โรงงานข้างเคียงก่อให้เกิดกับการทำเกษตรกรรมในตำบลบ้านแก หลังจากนั้นก็ปรากฏว่าประสบเหตุรถชนอย่างมีเงื่อนงำ กรณีชาวฮั่นต่อสู้กันในเรื่องที่ทำกินก็เป็นปัญหาหนึ่ง แต่กรณีที่เกิดขึ้นในมองโกเลียในเที่ยวนี้ คงต้องบอกว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน อาจกล่าวได้ว่าเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่เหลืออยู่อีกไม่กี่เส้น ก่อนที่ความรุนแรงในวงกว้างจะระเบิดขึ้น
ความพยายามในการรักษาระดับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ บังคับให้จีนจำเป็นต้องขยายขอบเขตการพัฒนาแหล่งวัตถุดิบและทรัพยากรธรรมชาติแหล่งใหม่ๆ อยู่เกือบตลอดเวลา ทั้งเพื่อการผลิตพลังงานป้อนภาคอุตสาหกรรม และเพื่อแสวงหาสินแร่วัตถุดิบการผลิต พื้นที่ที่ถูกผลกระทบมากที่สุดมักอยู่ในเขตที่การสำรวจเดิมยังทำได้น้อย หรืออยู่ในเขตที่เดิมอนุรักษ์ไว้เพราะเป็นเขตปกครองตนเองของชนกลุ่มน้อยเผ่าต่างๆ ในอีกด้านหนึ่ง รัฐบาลกลางของจีนก็ส่งเสริมสนับสนุนให้รัฐบาลท้องถิ่นในเขตตะวันตกที่ห่างไกล พัฒนายกระดับให้มีความก้าว
หน้าทันสมัยทัดเทียมกับมณฑลต่างๆทางตะวันออก รัฐบาลท้องถิ่นส่วนใหญ่ ต่างก็แข่งขันกันดึงดูดการลงทุน ด้วยการเปิดให้สิทธิพิเศษต่างๆมากมายแก่นักลงทุนจากภายนอก ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือจีนฮั่นหรือบริษัทที่ชาวจีนฮั่นร่วมทุนกับต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจ ตัวอย่างที่ว่ามีให้เห็นอย่างชัดเจนหลายต่อหลายกรณี ทั้งในเขตปกครองตนเองธิเบต ชิงไห่ ซินเจียง ยูนนาน กวางสี และมองโกเลีย มาตอนนี้เลยกลายเป็นว่าชนกลุ่มน้อยเผ่าต่างๆในมณฑลเหล่านี้ ต้องแบกรับภาระต้นทุนทั้งหมดเพื่อการพัฒนาประเทศ นอกจากจะไม่ได้รับอานิสงค์ใดๆแล้ว วิถีชีวิตและระบบเศรษฐกิจเพื่อการยังชีพแบบดั่งเดิมยังถูกกระทบ อีกทั้งยังไม่สามารถปรับเปลี่ยนอาชีพไปค้าขาย หรือเป็นแรงงานอพยพแบบชาวชนบทอื่นๆที่เป็นจีนฮั่น เพราะมีข้อจำกัดเรื่องภาษาและวัฒนธรรมประเพณีที่เข้มงวดแตกต่าง
การแสวงหาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และการเอารัดเอาเปรียบที่จะเข้มข้นยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จึงเปรียบเสมือนฟางเส้นสุดท้ายที่กำลังตกลงบนหลังอูฐ ทับโถมกับน้ำหนักความโกรธแค้นน้อยอกน้อยใจเดิมๆที่ถูกปกครองโดยชาวฮั่น ก็ยังไม่ทราบได้ว่าอูฐจะทนไปได้อีกนานเท่าใด และก็ไม่ทราบได้ว่าฟางเส้นสุดท้ายจริงๆจะเป็นเส้นไหน ทราบแต่เพียงว่าสถานการณ์น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง จากประสบการณ์ที่จีนเคยใช้กำลังเข้าปราบอย่างเข้มงวดรุนแรง ผมก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นวิธีการที่ได้ผลไปอีกนานแค่ไหน ผนวกเข้ากับข่าวการรวมตัวชุมนุมทางการเมืองที่กำลังจะเกิดขึ้นวันนี้พรุ่งนี้ ก็เลยดูเหมือนว่าจะเป็นช่วงเวลาที่เราต้องจับตาเฝ้ามองดูประเทศจีนเป็นพิเศษ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น