โดย
รศ.พรชัย ตระกูลวรานนท์
สาขามานุษยวิทยา
คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ในแวดวงเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
เวลามีลุ้นหรือว่าจะต้องวิเคราะห์แนวโน้มของปีใหม่ที่จะมาถึงนี้
ผมเห็นเพื่อนนักวิชาการหลายท่านพากันจับตามองคุณเบ็น เบอนันเก้
ประธานธนาคารกลางของสหรัฐ
คือดูว่าท่านจะออกมาแถลงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกรอบหรือไม่อย่างไร
อย่างเช่นเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา พอท่านออกมาแถลงว่าจะใช้มาตรการ Quantitative
Easing รอบที่3 (เรียกย่อว่า QE3 เป็นมาตรการใช้เงินที่ธนาคารกลางพิมพ์เพิ่ม
เข้าไปซื้อสินทรัพย์ของธนาคารต่างๆ เท่ากับเป็นการอัดฉีดเงินก้อนใหม่เข้าสู่ตลาด) ผู้คนในวงการก็พากันโมทนาสาธุ
เหมือนว่าจะรอดตายไปอีกคราวหนึ่ง มาในช่วงปลายปีแบบนี้
ก็มีผู้ใหญ่ที่คุ้นเคยหลายท่าน สอบถามผมแบบทีเล่นทีจริงว่า จีนจะมี คิวอง คิวอี
1,2,3 กะเค้าบ้างหรือไม่ ผมได้ยินคำถามก็อึ้งไปพักใหญ่ ไม่รู้จะตอบท่านว่าอย่างไร ที่ตอบไม่ได้ก็เพราะ
ประการแรก ภาพรวมเศรษฐกิจจีนในไตรมาสสุดท้ายเป็นอย่างไรก็ยังไม่ได้เห็น
ประการที่สอง หากแม้นจีนจะกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็คงเป็นแนวทางและวิธีแบบจีน
คงไม่คิดจะใช้แนวทางแบบสหรัฐ เพราะจีนระมัดระวังเรื่องค่าเงินมากเป็นพิเศษ
จะมาเที่ยวพิมพ์แบงก์เพิ่มเยอะแยะคงไม่ได้
ในคราวประชุมใหญ่พรรคฯครั้งที่18
เพราะคำถามคาใจข้างต้น ทำให้ผมเฝ้าจับตาดูพร้อมทั้งเงี่ยหูฟัง ว่าจะมีอะไรทำนองที่เป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาจากปากท่านผู้นำทั้งหลายหรือไม่
ปรากฏว่าทั้งผู้นำชุดเดิมและชุดใหม่ต่างก็เน้นย้ำแนวนโยบายเชิงทฤษฎีสังคมนิยมระดับบนของพรรคฯเป็นส่วนใหญ่
ไม่มีใครลงรายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการทางปฏิบัติเลย
ซึ่งกล่าวตามความจริงก็เป็นเรื่องปรกติตามจารีตปฏิบัติของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เรื่องรายละเอียดเขาไม่มานั่งถกเถียงในที่ประชุมให้ใครเห็นหรอก
โดยเฉพาะเป็นการประชุมใหญ่ครั้งสำคัญที่มีการถ่ายโอนอำนาจข้ามรุ่น
ยิ่งต้องแสดงให้เห็นเอกภาพและความต่อเนื่อง มากกว่าที่จะมีการเสนอแนะแนวนโยบายใหม่
หรือให้สัญญาในมาตรการใหม่ๆตัดหน้าผู้บริหารหรือผู้นำชุดเดิมที่ยังนั่งหายใจตัวเป็นๆกันอยู่ครบหน้า
เมื่อวันเสาร์-อาทิตย์ที่แล้ว
บรรดาท่านผู้บริหารสูงสุดชุดใหม่ทั้ง7ท่าน
ได้ร่วมประชุมคณะทำงานแผนเศรษฐกิจประจำปี ร่วมกับคณะรัฐบาลของนายกฯ เหวิน ซึ่งกลายเป็นที่จับตาอย่างมากจากสื่อมวลชนจีนและสำนักข่าวต่างประเทศทั้งหลาย
แม้รู้กันอยู่ว่าการประชุมเที่ยวนี้เป็นเพียงพิธีกรรม เพื่อสรุปยืนยันสิ่งที่ได้มีการตกลงส่งไม้ต่อกันเป็นที่เรียบร้อยไปแล้วระหว่างผู้นำชุดเดิมกับกลุ่มผู้นำชุดใหม่
แต่ผลการแถลงข่าวภายหลังสิ้นสุดการประชุมเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
ได้สร้างความตื่นเต้นอยู่พอสมควร เพราะดูเหมือนว่ารัฐบาลจีนกำลังจะใช้มาตรการครั้งสำคัญในการกระตุ้นกำลังการอุปโภคและบริโภคภายในประเทศ
มาเป็นเครื่องมือในการฉุดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจภาพรวมของจีน
จากคำแถลงยาวเหยียด
พอสรุปออกมาได้ว่า ตั้งแต่ปี2013เป็นต้นไป จีนจะผลักดันการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ
ให้สามารถชดเชยกับการส่งออกที่ถดถอย แม้ฟังดูไม่ใช่เรื่องใหม่
แต่คราวนี้คำแถลงนโยบายกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ
มาพร้อมกับมาตรการสำคัญสามประการด้วยกันคือ ประการที่หนึ่ง
การส่งเสริมการลงทุนภายในประเทศและเปิดตลาดสินเชื่อเพื่อการบริโภคให้มีความทันสมัยและเข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้น
ประการที่สอง การเร่งพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนชาวจีนด้วยการพัฒนาสังคมชนบทให้เทียบเคียงได้กับสังคมเมือง
หรือนโยบายนคราภิวัตรและการสร้างตำแหน่งงานใหม่ๆในเขตเมือง และประการที่สาม การตัดลดภาระภาษีบุคคลและวิสาหกิจขนาดเล็กทั้งหลายเพื่อให้สามารถมีเงินเหลือเพื่อการลงทุนหรือบริโภคมากขึ้น
หากพิจารณาดูในรายละเอียดของคำแถลงเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
อาจกล่าวได้ว่าแนวนโยบายหลักในปีหน้า ดูเหมือนจะมีข้อเดียว คือทำทุกวิถีทางเพื่อให้เกิดพลังบริโภคภายในประเทศเพิ่มขึ้น
ต่างจากเมื่อต้นปีที่ผ่านมาซึ่งยังเน้นแนวทางคู่ขนาน คือเพิ่มกำลังบริโภคภายในด้วย
และพยายามแสวงหาตลาดใหม่ในเอเชียกลางและในแอฟริกาไปพร้อมๆกัน
เฉพาะหน้าที่นักวิเคราะห์ทั้งหลายคงจะทยอยกันออกมาวิจารณ์กันแน่ๆ คงหนีไม่พ้นเรื่องผลกระทบของนโยบายดังกล่าวที่จะมีต่อภาวะหนี้สินส่วนบุคคลและหนี้สินภาคครัวเรือน
ตัวเลขสินเชื่อเพื่อการบริโภคที่ปล่อยโดยธนาคารพานิชย์ใหญ่ๆของจีน
เห็นแล้วก็หนาวอยู่พอสมควร ตัวเลขจนถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายนของ5ธนาคารยักษ์ใหญ่(ICBC,ABOC, BOC, ConBOC, และComBOC ) ปล่อยกู้สินเชื่อส่วนบุคคลเพื่อการบริโภคไปแล้ว6.13ล้านล้านหยวน
มากกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปี2011 อยู่ 7แสนกว่าล้านหยวน
หรือเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ12.99
ทั้ง5ธนาคารได้ออกบัตรเครดิตใหม่เพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมามากถึง 35.11 ล้านใบ
และมีการปล่อยสินเชื่อผ่านบัตรเครดิตเหล่านี้ไปแล้วในช่วง11เดือน
เป็นมูลค่าสินเชื่อกว่า2.889ล้านล้านหยวน
ที่ผมรายงานตัวเลขมานี้
เป็นแค่หนังตัวอย่างเล็กๆ ยังไม่ทราบว่าสรุปสิ้นปีตัวเลขชุดนี้จะเป็นอย่างไร
ยังไม่ได้รวมหนี้สินเพื่อการบริโภคและหนี้สินภาคครัวเรือนที่อาศัยแหล่งเงินกู้นอกระบบธนาคารในรูปแบบอื่นๆอีกมาก
และยังไม่รู้ว่าตัวเลขของเศรษฐกิจในภาคส่วนอื่นๆจะออกมาหน้าตาเช่นไร การหวังพึ่งพากำลังการบริโภคภายในประเทศเป็นหลักใหญ่ของการขับเคลื่อนกระตุ้นเศรษฐกิจ
ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร ความเข้าใจที่ว่าชาวจีนส่วนใหญ่ยังสามารถมีเครดิต(หนี้)ได้มากกว่านี้
ก็ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ในฐานะที่เป็นนโยบายสาธารณที่มีความรับผิดทางการเมืองผูกติดอยู่
ดูเหมือนผู้นำชุดใหม่กำลังวางเดิมพันที่สูงมาก
หากการกระตุ้นการบริโภคไม่ก่อให้เกิดการขยายการลงทุน การขยายตัวทางเศรษฐกิจ
และการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น ในสัดส่วนที่คุ้มค่าชดเชยกับหนี้ที่รัฐบาลกระตุ้นให้ใช้จ่าย
นอกจากจะไม่ทำให้เศรษฐกิจจีนโดยรวมฟื้นแล้ว
ดีไม่ดีจะพากันอยู่ไม่ได้ในทางการเมือง กลัวเหลือเกินครับ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น