โดย รศ.พรชัย ตระกูลวรานนท์
สาขามานุษยวิทยา
คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
2สัปดาห์ที่ผ่านมา
ผมต้องขออภัยท่านผู้อ่านที่รักด้วยที่หายหน้าไป ไม่ได้ส่งการบ้านประจำวันพุธ
วิ่งตะลอนไปมาหลายแห่งอยู่ในประเทศจีน หาเวลาเขียนบทความส่งไม่ได้จริงๆ เลยต้องแจ้งมาทางกอง
บก.ของดไปสองสัปดาห์ พุธนี้ส่งการบ้านตามปรกติครับ ที่ไปประเทศจีนเที่ยวนี้
ก็หลายงานด้วยกัน คือไปงานวิจัยส่วนตัวที่รับผิดชอบอยู่ ไปเยี่ยมเยือนมหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่งในนครปักกิ่งที่คุ้นเคยรู้จักและมีงานวิจัยเกี่ยวข้องติดต่อกันอยู่
อีกทั้งยังได้รับความกรุณาจากบริษัทเจริญโภคภัณฑ์สำนักงานนครปักกิ่ง พาไปเยี่ยมชมโครงการพัฒนาเกษตรแผนใหม่
ที่ทางบริษัทร่วมกับรัฐบาลปีกกิ่งและกลุ่มเกษตรกรจีนในตำบลผิงกู่นอกเมืองปักกิ่ง(โทษฐานที่เขียนพาดพิงถึงเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน
เขาก็เลยพาไปดูซะเลย จะได้เข้าใจอย่างถูกต้อง) ทั้งโครงการใช้เกษตรกรเพียง80กว่าคน
แต่เลี้ยงและบริหารจัดการไก่ไข่ได้ถึง3.5ล้านตัว น่าทึ่งและน่าชื่นชมอย่างยิ่งในการพัฒนาเทคโนโลยีการทำฟาร์มสมัยใหม่ของทางเจริญโภคภัณฑ์ในประเทศจีน
ท้ายสุดก็เดินทางไปเยี่ยมเยือนมิตรเก่าแก่ที่สถานีวิทยุนานาชาติจีน(CRI) แต่ที่จะเป็นประเด็นพูดคุยในคอลัมน์สัปดาห์นี้
จะขอเอาเรื่องที่ไม่ได้ไปดูงานมาเล่าสู่กันก่อน เรื่องที่ไปดูงานมา
จะขอทะยอยไปเล่าในคราวหลัง (เก็บไว้ใช้ตอนคิดหาเรื่องเขียนไม่ได้)
เรื่องที่จะนำมาเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังในสัปดาห์นี้
เป็นผลสืบเนื่องมาจากหัวข้อการสนทนาบนโต๊ะอาหารมื้อเที่ยงก่อนที่จะเดินทางกลับประเทศไทย
หลังจากที่ผมเดินทางไปเยี่ยมเพื่อนๆที่ทำงานอยู่สถานี CRI
ในตอนเช้าวันเสาร์เสร็จ เขาก็ชวนออกมาทานข้าวเป็นมื้อเลี้ยงส่ง ระหว่างทานข้าวก็แลกเปลี่ยนข่าวสารในประเทศไทย-จีน
คุยไปเรื่อยๆจนเข้าเรื่องจราจร ผมก็ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการจราจรในกรุงปักกิ่ง
เพื่อนชาวจีนจึงให้ข้อมูลว่ารถติดมาก เนื่องจากช่วงที่ผ่านมามีการสอบข้อเขียนผู้สมัครเข้ารับราชการ
ทำให้มีผู้คนจากที่ต่างๆเพิ่มเข้ามาในปักกิ่ง ผมก็เกิดสงสัยจึงชวนคุยเรื่องการสอบบรรจุเข้าเป็นข้าราชการของจีน
ได้ความรู้ใหม่เพิ่มมามากทีเดียว
ผมเข้าใจเอาเองว่า ในช่วงกว่า20ปีมานี้
ความนิยมแห่กันไปสมัครสอบเป็นข้าราชการของหนุ่มสาวชาวจีนลดลงเรื่อยๆ
ในสมัยก่อนที่จะเริ่มนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจแบบเปิดกว้าง อาชีพรับราชการส่วนกลาง
ดูจะเป็นเป้าหมายเดียวในชีวิตของบรรดาบัณฑิตจบใหม่จากรั้วมหาวิทยาลัย
แต่เมื่อจีนเข้าสู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจเต็มรูปแบบ
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และตำแหน่งงานใหม่ๆก็มีหลากหลายเพิ่มมากขึ้น
ทำให้ตัวเลขและอัตราการแข่งขันในการสอบบรรจุเป็นข้าราชการลดลงเรื่อยๆ จนเกิดเป็นสำนวนว่า
“ปี๋เยวี่ย เซี่ยไฮ่” คือบัณฑิตสำเร็จการศึกษา มีเท่าไรก็แหวกว่ายไหลเข้าสู่ท้องทะเลธุรกิจการค้าหมด
ผลิตเท่าไรก็ไม่พอใช้(ช่วงกลางทศวรรษ1990 มีบัณฑิตจบปีละประมาณ1.5ล้านคน)
เพราะเชื่อกันว่าเป็นช่องทางสู่ความร่ำรวยและก้าวหน้า อย่างไรก็ดี มาในช่วงหลัง
ปรากฏการณ์เริ่มย้อนกลับ เมื่อจีนต้องเผชิญสภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจ
กระแสความนิยมที่จะแข่งขันสอบบรรจุเข้ารับราชการ ก็กลับมาแรงอีกครั้ง เรียกกันทั่วไปว่าเหมือนเป็นหม้อข้าวทองคำ
การสอบข้อเขียนเพื่อบรรจุเข้ารับราชการล่าสุดที่ผ่านมา
ประมาณว่ามีผู้สำเร็จการศึกษาทั้งจบใหม่และจบเก่ากว่า1.4ล้านคน
แข่งขันกันเข้าสอบข้อเขียนเพื่อบรรจุเข้าในตำแหน่งว่างประมาณ20,800ตำแหน่งราชการส่วนกลางทั่วประเทศ(พนักงานของรัฐบาลท้องถิ่น
ฟังมาว่าแยกสอบเองต่างหาก และมีผู้สมัครแข่งขันอีกหลายล้านคน) จากจำนวนบัณฑิตจบใหม่เกือบ7ล้านคนในปีนี้
อาการกลับลำอยากเป็นข้าราชการของบรรดาบัณฑิตจบใหม่เหล่านี้
สะท้อนให้เห็นอะไรหลายอย่าง ที่แน่ๆประการแรก
ภาวะเฟื้องฟูของเศรษฐกิจจีนที่รับรู้โดยชาวจีนเอง ได้มาถึงจุดอิ่มตัวแล้ว
แม้ว่ารายได้เริ่มต้นจากการเป็นข้าราชการพลเรือนจีนจะต่ำกว่าอาชีพค้าขายของชำ
แต่หนุ่มสาวจำนวนมากก็พร้อมที่จะเลือกอย่างแรก
เพราะเป็นอาชีพที่มั่นคงกว่าการเสี่ยงทำธุรกิจเองหรือแย่งหางานทำกับบริษัทเอกชนที่ไม่มีความมั่นคง
ประการที่สอง
สถานะทางสังคมของความเป็นข้าราชการยังคงฝั่งแน่นอยู่ในวัฒนธรรมอำนาจนิยมของจีนไม่เปลี่ยนแปลง
แม้ว่าในบางห่วงเวลา การเป็นนักธุรกิจหรือผู้บริหารบริษัทเอกชนจะดูดีมีเงินมีทองกว่า
แต่ความเชื่อเรื่องข้าราชการและอำนาจรัฐ ก็ไม่จางไปจากสังคมจีนได้ง่ายๆ
ประการที่สาม ชาวจีนจำนวนไม่น้อยเชื่อกันว่าอาชีพรับราชการไม่เพียงแต่จะมั่นคง
มีศักดิ์ศรี เผลออาจรวยตามน้ำได้ด้วย คนกลุ่มนี้แม้มีไม่มาก
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าข่าวการคอรัปชั่น การรับผลประโยชน์ตอบแทนการอำนวยความสะดวกฯลฯ
เป็นเรื่องที่มีอยู่และเกิดขึ้นจริงในสังคมจีน
แม้จะมีข่าวการลงโทษข้าราชการฉ้อราษฎร์ปรากฏให้เห็นเป็นระยะๆ
แต่ก็เชื่อแน่ว่ายังมีผู้เห็นอาชีพรับราชการเป็นช่องทางรวยลัดอยู่ไม่น้อย
ประการสุดท้าย ไม่ว่าอาชีพรับราชการจะให้เงินตอบแทนต่ำอย่างไร
แต่ประโยชน์ที่ชัดเจนอย่างหนึ่งที่เหนือกว่า
ก็คือสิทธิ์ในเรื่องที่พักอาศัยและสวัสดิการรักษาพยาบาลตลอดชีพ
ซึ่งหากคิดเป็นตัวเงินแล้วก็ไม่น้อยเลย
ในจำนวนข้าราชการพลเรือนกว่า6.8ล้านคนโดยประมาณของจีน คงคล้ายๆกับของไทยเรา
คือมีทั้งคนที่อยากเข้าและคนที่อยากออก บัณฑิตใหม่ที่กำลังสอบแข่งขันเพื่อบรรจุเข้าในปีนี้
อาจสมหวังหรืออาจผิดหวังในระยะยาว
เพราะจากสถิติมีเพียง40,000กว่าคนเท่านั้นที่ได้ทำงานประจำอยู่ในกรมกองตามเมืองใหญ่ทันสมัย
ที่เหลือนอกนั้นอาจพบว่าอาชีพข้าราชการในหัวเมืองเขตชนบทไม่ก้าวหน้า
และอาจไม่มีช่องทางแสวงหาความเติบโตหรือรายได้พิเศษใดๆเลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น