รศ.พรชัย ตระกูลวรานนท์
สาขามานุษยวิทยา
คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
หลังจากที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ผมได้แนะนำผู้บริหารที่กำลังจะก้าวขึ้นมาปกครองประเทศจีนในรุ่นที่5 ก็ปรากฏว่ามีแฟนประจำต่อว่ามา
อยากให้ขยายความที่ทิ้งท้ายไว้ให้ละเอียดยิ่งขึ้น
สำหรับคนที่เขียนคอลัมน์สัปดาห์ละครั้งอย่างผม
ถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่ได้ทราบว่ามีท่านผู้อ่านที่รักติดตามคอลัมน์นี้อย่างเอาจริงเอาจัง
ฉะนั้นไม่ว่าท่านขออะไรมา หากอยู่ในวิสัยที่ทำได้ ผมก็จะสนองตอบทันทีครับ
คราวนี้เลยจะขอชวนท่านผู้อ่านคุยต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อนที่ทิ้งท้ายว่าประเทศจีนภายใต้ผู้นำรุ่นใหม่
มีปัญหาท้าทายรออยู่มาก ตกลงได้แก่ปัญหาอะไรบ้าง
สดๆร้อนๆเมื่อปลายเดือนที่แล้ว ผมเชื่อว่าผู้อ่านจำนวนหนึ่งคงได้ทราบข่าวการประท้วงที่เมืองหนิงปอ
ชาวเมืองหลายพันคนออกมาเคลื่อนไหวบนท้องถนน
ประท้วงต่อต้านโครงการก่อสร้างขยายโรงงานปิโต-เคมี ต่อเนื่องอยู่3วันเต็ม
แม้จะลงเอยด้วยการที่รัฐบาลท้องถิ่นสั่งชะลอโครงการก่อสร้างออกไป
แต่ก็ปรากฏว่ามีความรุนแรงเกิดขึ้นในระหว่างการประท้วง
และมีประชาชนถูกจับตัวไปกว่า50คน
กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์กันมากในโลกออนไลน์ของจีน
หากนับเนื่องจากเหตุการณ์เทียนอันเหมินในปี1989เป็นต้นมา
ประเทศจีนได้พบกับความเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญในการแสดงออกอย่างเปิดเผยของภาคประชาชน
เหตุการณ์ประท้วงมีเพิ่มมากขึ้นทุกๆปี
แม้ว่าในมุมมองนักวิชาการตะวันตกจะเห็นเป็นพัฒนาการปรกติของสังคมจีนที่มีชนชั้นกลางเพิ่มมากขึ้น
อันสืบเนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ คนชั้นกลางในเขตเมืองรุ่นใหม่ๆ
ที่ไม่ได้มีประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์ภายใต้การปกครองอย่างเข้มงวดของพรรคฯในอดีต
ก็เลยอยากมีสิทธิ์มีเสียงในการกำหนดทิศทางของบ้านเมืองที่จะกระทบกับชีวิตของเขา
ทว่าในข้อเท็จจริง ไม่เฉพาะแต่ในเขตเมืองเท่านั้นที่มีการเดินขบวนประท้วง
เกษตรกรในเขตชนบทและกลุ่มผู้ใช้แรงงานชั้นล่าง
จำนวนการประท้วงและลุกฮือต่อต้านการใช้อำนาจของทั้งรัฐบาลท้องถิ่นและกิจการลงทุนของเอกชน
ก็ปรากฏมีความถี่เพิ่มมากขึ้น
ตัวเลขจากนักวิชาการจีนเอง(สถาบันวิจัยสังคมศาสตร์ที่ปักกิ่ง)ประมวลไว้ว่าขยายเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
จาก 8,700 กว่ากรณีประท้วงในปี1993 เพิ่มเป็นเกือบ9พันกรณีในปี1995
และกลายมาเป็น180,000กว่ากรณีในปี2010 อันนี้หมายถึงการประท้วงที่มีผู้เข้าร่วมจำนวนมากเป็นร้อยเป็นพัน
มีการเดินขบวน มีการปราศรัยโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐหรือคู่ขัดแย้ง
รวมไปถึงมีการใช้กำลังขว้างปาทำลายข้าวของฯลฯ
ปัจจัยที่อยู่เบื้องหลังความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้
ชัดเจนว่าส่วนหนึ่งมีที่มาจากแกนนำที่เป็นชนชั้นกลาง มีการศึกษาดี
มีความคิดอ่านเป็นประชาธิปไตย รู้เห็นเรื่องราวตัวอย่างจากต่างประเทศ
แต่หากได้วิเคราะห์อย่างละเอียดแล้ว เราอาจพบได้ว่ากลุ่มที่ประท้วงนั้น
มีอยู่หลายพวกด้วยกัน และด้วยเหตุปัจจัยที่แตกต่างกัน
ในที่นี้ผมจะขอไล่ประเภทจากเหตุประท้วงที่มีความถี่สูงลงไปหาความถี่ต่ำดังนี้
ที่มากที่สุดคือกลุ่มประท้วงเรื่องที่ดินในเขตชนบท ทั้งด้วยเหตุโดนไล่ที่
หรือด้วยเหตุไม่มีที่อยู่ที่ทำกิน
กลุ่มนี้มีมากถึงร้อยละ65จาก180,000เหตุการณ์ในปี2010
ถัดมาเป็นกลุ่มประท้วงของผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือถูกรังแกจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ตามด้วยกลุ่มที่ประท้วงด้วยสาเหตุได้รับผลกระทบจากปัญหามลพิษและสิ่งแวดล้อมที่กระทบชีวิตและการทำมาหากิน
ตามมาด้วยการประท้วงของกลุ่มผู้ใช้แรงงานในโรงงานอุตสาหกรรม
การประท้วงของกลุ่มชาตินิยมจีน และท้ายที่สุดกลุ่มผู้ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตย
อย่างไรก็ดี
แม้ว่าผมจะยกตัวอย่างสาเหตุการประท้วงตามจำนวนครั้งความถี่ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
แต่มีข้อเท็จจริงว่า
หากเอาจำนวนคนที่เข้าร่วมการประท้วงหรือขนาดความยืดเยื้อมาเป็นเกณฑ์
การจัดลำดับก็จะสลับกัน กล่าวคือแบบหลังสุดจะมีผู้ประท้วงถูกระดมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยมากกว่า
นอกเหนือจากที่เหล่าผู้นำจีนรุ่นใหม่จะต้องเจอกับการประท้วงแสดงออกของภาคประชาชนด้วยสารพัดสาเหตุที่เพิ่มมากขึ้นแล้ว
ปัญหาที่น่าปวดหัวที่จะต้องเข้ามาแก้ไขโดยเร่งด่วน
ก็คือรูปแบบและนโยบายทางเศรษฐกิจ แม้ว่ากว่า30ปีมานี้จีนจะได้รับความชื่นชมจากนานาชาติว่าได้สร้างปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจ
ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวจีนให้มีกินมีใช้ได้อย่างน่าทึ่ง
แต่ภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน
ดูเหมือนแนวนโยบายการผลิตเพื่อส่งออกและหวังพึ่งตลาดภายนอกจะไม่สามารถเดินต่อไปได้อีกแล้ว
อย่างที่ผมเคยนำเสนอไว้เมื่อต้นปีว่า จีนกำลังเจอกับดักรายได้ชั้นกลาง
ถ้าจะฝ่าผ่านไปให้ได้ จีนต้องเปลี่ยนแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างขนานใหญ่
ปัญหาคือจะเปลี่ยนอย่างไรโดยไม่ให้กระทบกับอัตราการเจริญเติบที่จีนต้องการจะพยุงไว้
พร้อมๆกันก็ต้องรักษาสมดุลไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำช่องว่างทางเศรษฐกิจและสังคมเพิ่มมากขึ้นไปกว่านี้
ระหว่างคนรวยในเขตเมืองกับคนจนในชนบท(นับจากปี1985ถึงปัจจุบัน
ความเหลื่อมล้ำแตกต่างขยับมาอยู่ที่ร้อยละ68)
อันอาจนำไปสู่ความวุ่นวายลุกฮือทางการเมืองได้
ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมและพลังงานก็เป็นเรื่องใหญ่ที่รอคอยผู้มาแก้ไข
วีถีชีวิตและแบบแผนการบริโภคที่เปลี่ยนไป ทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าและรถยนต์บนท้องถนน
ได้กลายเป็นภาระใหญ่ของจีนในการแสวงหาแหล่งพลังงาน
พร้อมๆกับต้องคอยแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและมลพิษที่ตามมา
การพัฒนาทางอุตสาหกรรมตลอด3ทศวรรษที่ผ่านมา ได้สะสมเอากากพิษอุตสาหกรรมและก่อปัญหามลพิษระยะยาวในสิ่งแวดล้อม
รอคอยรัฐบาลชุดใหม่มารับภาระเก็บกวาด
จีนอาจต้องเตรียมงบประมาณและใช้เวลาในการเก็บกวาด
มากกว่าหรือพอๆกับผลกำไรที่ได้จากการเร่งขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงเวลาที่ผ่านมา
ท้ายที่สุด ปัญหาใหญ่เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและบทบาทของจีนในเวทีโลก
ดูเหมือนใครๆก็เชื่อกันว่าสหรัฐอเมริกาและประเทศจีน
หลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องเผชิญหน้ากันบนเวทีการเมืองระหว่างประเทศ
ในฐานะสองขั้วอำนาจใหญ่ ยิ่งมีข่าวลือกันในแวดวงเศรษฐกิจว่า ปี2016
จีนอาจกลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก(หากวิกฤติเศรษฐกิจในสหรัฐและยุโรปยังแก้ไม่ตก)
ก็ยิ่งทำให้นานาชาติจับตามองแบบไม่สู่ไว้วางใจนัก
ก่อนหน้านี้ตอนที่เริ่มปฏิรูปเปิดประเทศใหม่ๆ จีนทำอะไรก็ดูดีไปหมด
มาตอนนี้พอจีนพัฒนาเจริญไปมาก จะขยับหรือจะออกหน้าทำอะไรในเวทีโลก ก็ดูจะลำบากไปหมด
ต้องระมัดระวังยิ่งขึ้นกว่าเดิม สรุปว่าทำตัวลำบากครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น