รองศาสตราจารย์ พรชัย ตระกูลวรานนท์
สาขามานุษยวิทยา คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ในแวดวงข่าวต่างประเทศ หลังศึกชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาออกหัวออกก้อยไปแล้ว ข่าวใหญ่ที่ผมเชื่อว่าสื่อมวลชนนานาชาติต่างเฝ้าจับตามองในลำดับต่อไป คงหนีไม่พ้นเรื่องการผลัดเปลี่ยนผู้นำจีนที่กำลังจะเกิดขึ้นไวๆนี้ ผมเองได้รับการติดต่อจากสถานีวิทยุกระจายเสียงนานาชาติ(CRI)ของจีน ในฐานะที่สนิทคุ้นเคย ให้ร่วมทำหน้าที่ติดตามและแสดงความเห็นผ่านรายการพิเศษของสถานีฯที่จัดขึ้นเพื่อติดตามรายงานผลการประชุม วันพรุ่งนี้ 8 พ.ย. 2012 การประชุมใหญ่สมัชชาแห่งชาติพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่18ก็จะเริ่มขึ้น และหลังจากนั้นอีกไม่นาน โลกก็จะได้เห็นโฉมหน้าของผู้นำจีนรุ่นใหม่ ที่จะกุมชะตากรรมของประเทศที่มีประชากร 1,300 ล้านคน มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก เพราะในที่ประชุมนี้ จะมีการยืนยันตัวคณะผู้นำพรรคฯชุดใหม่และเลขาธิการพรรคฯ ซึ่งก็จะเข้ารับตำแห่งประธานาธิบดีในเดือนมีนาคมปีหน้า กระบวนการของพรรคฯและของรัฐบาลในการคัดเลือก และคาดการณ์เกี่ยวกับตัวบุคคลที่จะขึ้นสู่อำนาจสูงสุด ผมได้เคยนำเสนอไปบ้างแล้วในคอลัมน์นี้ ถ้าจำไม่ผิดก็ช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ตอนที่จีนมีการประชุมสมัชชาประชาชนแห่งชาติสมัยที่11ครั้งที่5และการประชุมสภาที่ปรึกษาการเมืองประชาชนจีนสมัยที่11ครั้งที่5 หรือที่เรียกว่าการประชุมใหญ่สองสภา แต่มาสัปดาห์นี้ หากไม่พูดถึงอีกครั้ง ก็อาจจะกลายเป็นตกข่าว ว่าที่จริง ผู้นำรุ่นใหม่ ใครเป็นใครที่จะก้าวขึ้นสู่อำนาจ เป็นเรื่องที่นานาชาติได้รับรู้และคาดการณ์มาล่วงหน้าร่วมปีแล้ว ถึงนาทีนี้คงแน่นอนแล้วว่า รองประธานาธิบดีนาย สี จิ้นผิง และรองเลขาธิการพรรคฯ(รองนายกฯอันดับที่1)นายหลี่ เคอะเฉียงจะขยับขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดของพรรคฯและของรัฐบาลจีน แต่ที่ไม่แน่นักว่าคนทั่วไปจะทราบ ก็คือลึกๆแล้วทั้งสองท่านนี้เป็นใคร ผมก็เลยจะขอนำเอาเรื่องราวของทั้งสองมาขยายสู่ท่านผู้อ่านที่รักในสัปดาห์นี้ ข้อมูลที่ไปค้นคว้าหามา ก็ไม่ได้พิเศษพิสดารอะไรหรอกครับ อาศัยจากสื่อแขนงต่างๆของจีนนั่นเอง ท่านที่รู้มากกว่าผมก็อย่าหัวเราะ ทนๆเอาหน่อยนะครับ
ท่านรองประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ว่าตามข้อเท็จจริงแม้ชาวจีนเองก็ไม่สู้จะรู้จักท่านลึกนัก อย่าว่าแต่คนไทยอย่างเราๆ สาเหตุสำคัญก็คงเป็นเพราะเงื่อนไขในอดีตที่ทำให้ท่านเป็นคนระมัดระวังตัวและไม่ค่อยแสดงตัวให้ปรากฏเป็นข่าว ทั้งๆที่ได้ดำรงตำแหน่งสำคัญๆไต่ขั้นบันไดอำนาจระดับชาติมานับแต่ปี2002 สี จิ้นผิงเกิดเมื่อ1 มิถุนายน 1953 เป็นบุตรของนาย สี จงซุน ผู้นำกองกำลังปลดปล่อยมณฑลซ่านซีและอดีตรองนายกรัฐมนตรี รองประธานสภาประชาชน อย่างไรก็ดี ครอบครัวสีก็เผชิญชะตากรรมเมื่อนายสี จงซุนถูกปลดจากตำแหน่งและคุมขังในปี1968ในยุคการปฏิวัติวัฒนธรรม ตัวนายสี จิ้นผิงเองก็ถูกส่งตัวไปทำงานหนักในชนบทตามนโยบายประธานฯเหมา ก่อนที่จะเข้าเป็นสมาชิกพรรคและกลับออกมาเรียนหนังสือจนสำเร็จการศึกษาสาขาวิศวกรรมเคมีจากมหาวิทยาลัยชิงหัวอันมีชื่อเสียงในปี1979 หลังจากนั้นก็เริ่มงานเป็นเลขานุการฯลูกน้องเก่าของบิดานาย เกิง เปียว ซึ่งดำรงตำแหน่งรองนายกฯและกรรมการเลขาฯกรรมาธิการกองทัพปลดแอกในขณะนั้น จุดนี้เองที่ทำให้ท่านมีประสบการณ์และได้รู้จักผู้คนสำคัญที่เป็นตัวหลักในกองทัพจีน สี จิ้นผิง เริ่มงานในตำแหน่งสำคัญระดับชาติในปี2002เมื่อเข้ารับตำแหน่งเลขาธิการพรรคฯมณฑลเจ้อเจียงในห่วงระยะเวลาที่มณฑลนี้กำลังขยายตัวเติบโตเต็มที่ การทำงานที่เข้มแข็งและตรงไปตรงมา ทำให้เขาได้กลายเป็นผู้บริหารรุ่นใหม่ที่ปักกิ่งให้ความสนใจ ในปี2007เขาได้รับการเลื่อนขั้นให้เป็นเลขาธิการพรรคฯประจำมหานครเซี่ยงไฮ้อันถือเป็นตำแหน่งสำคัญยิ่ง แม้จะเป็นตำแหน่งที่ล่อแหลมและถูกจับตามอง แต่สี จิ้นผิงก็ดำเนินนโยบายตรงตามแนวทางของพรรคฯและรัฐบาลอย่างเคร่งครัดรักษาเนื้อรักษาตัวได้ดี จนในคราวประชุมสมัชชาพรรคฯครั้งที่17ในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน เขาก็ได้รับความไว้วางใจให้เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการกลางพรรค1ใน9คนที่ทรงอำนาจมากที่สุดของประเทศ เดือนมีนาคมปีถัดมา ในที่ประชุมสมัชชาประชาชนแห่งชาติครั้งที่11 เขาก็ได้รับความเห็นชอบแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีจีน และกลายมาเป็นว่าที่ผู้นำจีนสูงสุดของกลุ่มผู้นำรุ่นที่5ในอีกไม่กี่วันนี้
สำหรับนาย หลี่ เคอะเฉียง เป็นคนอันฮุยโดยกำเนิด เกิดวันที่1 กรกฎาคม 1955 เข้าเป็นสมาชิกพรรคฯในช่วงปี1974ระหว่างที่ทำงานชนบทตามนโยบายของประธานเหมาในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม แทนที่จะดำเนินรอยตามทางของบิดาที่เป็นเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในอันฮุย หลี่ตัดสินใจเข้าศึกษาวิชากฎหมายในมหาวิทยาลัยปักกิ่งที่ซึ่งเขาได้รับตำแหน่งประธานสภานักศึกษาของมหาวิทยาลัย และต่อมาตำแหน่งเลขาธิการสันนิบาตยุวชนคอมมิวนิสต์แห่งมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ในปี1982เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหนึ่งในกรรมการเลขาธิการสันนิบาตยุวชนคอมมิวนิสต์แห่งชาติ จุดนี้เองที่ทำให้ หลี่ เคอะเฉียงมีโอกาสทำงานอย่างใกล้ชิดกับหู จินเทา ซึ่งก็เริ่มต้นเส้นทางการเมืองผ่านองค์กรสันนิบาติยุวชนฯ หลี่ เข้ารับตำแหน่งเลขาธิการสูงสุดของสันนิบาตยุวชนฯในปี1993-1998 ด้วยอายุเพียง43 ในปี1998 หลี่ได้กลายเป็นผู้ว่าการมณฑลที่อายุน้อยที่สุด เมื่อรัฐบาลกลางแต่งตั้งให้เขารับหน้าที่ผู้ว่าการมณฑลเหอหนาน มณฑลที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในประเทศจีน ผลงานของเขาในเหอหนาน สำหรับสายตาผู้นำในปักกิ่ง ออกไปในทางทั้งดีและร้าย กล่าวคือแม้จะสามารถพัฒนาทางเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่เขาก็เผชิญกับปัญหาหนักๆทางสังคมที่แก้ไขไม่สำเร็จ เช่นปัญหาการแพร่ระบาดขนานใหญ่ของโรคเอดส์ และปัญหาอุบัติเหตุไฟไหม้เหมืองถล่มหลายครั้ง ในปี2004 หลี่ถูกย้ายไปดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคฯมณฑลเหลียวหนิง ในระดับชาติ หลี่ เคอะเฉียงได้รับการแต่งตั้งเข้าสู่กรรมการกลางของพรรคฯโดยมติที่ประชุมใหญ่สมัชชาพรรคฯครั้งที่17ในเดือนตุลาคมปี2007พร้อมๆกับสี จิ้นผิง แม้ความโดดเด่นและอาวุโสจะคู่คี่กันมากับสี จิ้นผิง ในฐานะทายาททางการเมืองรุ่นที่5ที่จะสืบต่อตำแหน่งของประธานาธิบดีหู จินเทา แต่ผลในที่ประชุมสมัชชาประชาชนปี2008 หลี่ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองนายกฯอันดับหนึ่ง ยุติการคาดเดาต่างๆลง และชัดเจนตั้งแต่บัดนั้นว่าเขาคงก้าวขึ้นแทนเหวิน เจียเป่า ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ประเทศจีนที่ท่านผู้นำทั้งสองและผู้นำอื่นๆในรุ่นที่5จะเข้ารับช่วงปกครองดูแล แตกต่างโดยสิ้นเชิงจากประเทศจีนที่ผู้นำรุ่นก่อนๆได้เคยบริหารปกครอง มองโลกในทางร้าย จีน ณ ปัจจุบันมีปัญหารอให้แก้ไขเพียบ สภาวะทางเศรษฐกิจที่เขม็งเกลียว เสถียรภาพทางการเมืองภายใน ปัญหาพิพาททางทะเลกับเพื่อนบ้าน จุดยืนที่ถูกท้าทายและจับตามองในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ ทั้งหมดนี้จะเป็นสิ่งพิสูจน์ฝีมือที่ท้าทายและน่ากลัวสำหรับเหล่าผู้นำรุ่นใหม่ของจีน ก็ได้แต่รอลุ้นกันไปละครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น