รองศาสตราจารย์
พรชัย ตระกูลวรานนท์
สาขามานุษยวิทยา
คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
จั่วหัวแบบนี้ ในคอลัมน์คลื่นบูรพา
ท่านผู้อ่านที่รักซึ่งคุ้นเคยติดตามคอลัมน์นี้อยู่
คงอ่านเจตนาได้ชัดนะครับว่าต้องการโหนกระแสข่าวในประเทศ แต่จริงๆแล้วไม่เกี่ยวอะไรเลยกับประเด็นทางการบ้านการเมืองในบ้านเราแน่ๆ
สัปดาห์นี้ผมจะขอชวนคุยเรื่องราวการเมืองที่กำลังก่อตัวหมาดๆ
และอาจจะขยายออกเป็นเรื่องใหญ่ได้ในอนาคตอันใกล้
หากรัฐบาลจีนและพรรคฯไม่เข้ามาดูแลจัดการให้เหมาะสม เรื่องราวเป็นอย่างไร คงต้องย้อนบรรยากาศเล็กน้อย
กลับไปที่การผลัดเปลี่ยนถ่ายโอนอำนาจผู้นำจีนที่เพิ่งผ่านมาสดๆร้อนๆเมื่อปลายปีที่แล้ว
ในคราวแถลงเปิดตัวหัวหน้าคณะผู้นำสูงสุดรุ่นใหม่ ในที่ประชุมสมัชชาฯครั้งที่ผ่านมา
ประโยคหนึ่งที่ได้ยินท่านผู้นำใหม่ สี จิ้นผิง กล่าวย้ำอยู่หลายรอบ คือคำว่า “สืบทอดต่อยอดการปฏิรูป-เปิดกว้าง”
และก็ดูเหมือนจะสมใจอยากที่ท่านย้ำแล้วย้ำอีก
เพราะตลอดช่วงปลายปีเก่าต่อเนื่องปีใหม่ สื่อมวลชนทั้งกระแสหลักของรัฐ
และสื่อค่ายเสรีนิยมจีนตามหัวเมืองพัฒนาใหม่(มณฑลทางใต้และชายฝั่ง)
รวมไปถึงบรรดาสื่อทางเลือกในโลกอินเตอร์เน็ต ต่างพากันตอบรับกระแสและสะท้อนกลับ
เรียกร้องการปฏิรูป-เปิดกว้างรอบใหม่(หลังจากนโยบายปฏิรูป-เปิดกว้างในปลายศตวรรษที่1970)ที่ครอบคลุมกว้างขวางยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะการปฏิรูปในภาครัฐ ไปๆมาๆในช่วงต้นปีใหม่นี้
ดูเหมือนรัฐบาลที่ปักกิ่งออกอาการเริ่มหนักใจ ต้องกลับมาทบทวนกันว่ากระแสตอบรับแนวปฏิรูปของภาคประชาชนกลุ่มเสรีนิยมในจีนชักจะไปไกลเกินหรือไม่
ในช่วงระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนเต็มที่ผ่านมา
หนังสือพิมพ์และนิตยสารหลักๆเกือบทุกฉบับก็ว่าได้
มีคอลัมน์พิเศษวิเคราะห์ถ้อยแถลงว่าด้วยการ “สืบทอดต่อยอดการปฏิรูป-เปิดกว้าง”
ไม่ทางหนึ่งก็ทางใด ในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศหลายแห่ง เช่นมหาวิทยาลัยปักกิ่ง
มีการจัดสัมนาทางวิชาการวิเคราะห์อนาคตประเทศจีนภายหลังการปฏิรูป-เปิดกว้างรอบที่2(2013-?)
มีการประชุมทางวิชาการเกี่ยวกับการพัฒนาประชาธิปไตย
การมีส่วนร่วมทางการเมืองของภาคประชาชน การปกครองแบบนิติรัฐ
บทบาทที่ลดน้อยลงของพรรคฯและรัฐบาลกลาง
การตรวจสอบการบริหารงานของรัฐบาลท้องถิ่นฯลฯ
เยอะแยะไปหมดจนอาจเรียกได้ว่าขยายความไปกันใหญ่
มาเมื่อต้นสัปดาห์นี้เอง
เกิดปรากฏการณ์ขยายผลที่ไม่ธรรมดาขึ้นในเครือข่ายสังคมออนไลน์ของจีน มีการส่งต่อ
“ข้อเสนอเรียกร้องทำประชามติกำหนดแนวนโยบายปฏิรูป” ให้เป็นวาระแห่งชาติ
ส่งต่อเผยแพร่กันอย่างกว้างขวาง
ข้อเสนอดังกล่าวลงนามโดยนักวิชาการค่ายเสรีนิยมชื่อดังของจีน70กว่ารายทั้งที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย
นักคิดนักเขียนชื่อดัง อันที่จริงได้เปิดเผยต่อสาธารณชนมาตั้งแต่วันที่ 26 เดือนธันวาคมปีที่แล้ว
นิตยสารหัวก้าวหน้า “หนาน-ฟาง-โจว-ม้อ” (นิตยสารทักษิณสุดสัปดาห์
เป็นนิตยสารในเครือหนังสือพิมพ์ ทักษิณรายวัน หนาน-ฟาง-ยื่อ-เป้า
มียอดจำหน่ายกว่า1.6ล้านฉบับทั่วประเทศ) ได้เคยนำข้อเสนอดังกล่าวลงตีพิมพ์แล้วครั้งหนึ่ง
แต่ถูกทางการเข้าแทรกแซงการเผยแพร่ มาคราวนี้ เกิดกระแสส่งต่อข้อความเป็นลูกโช่ในเครือข่ายสังคมออนไลน์โดยเฉพาะไมโครบล๊อกค่ายต่างๆของจีน
ดูเหมือนจะเกินกำลังเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจะปิดกั้นได้
กลายเป็นประเด็นดังในวงสนทนาของคนชั้นกลางในประเทศจีนทั่วไป ลุกลามทั่วทั้งประเทศเรียบร้อยแล้ว
ข้อเสนอการทำประชามติดังกล่าว
เปิดประเด็นดุเดือดเอาเรื่องอยู่ ผมขออนุญาตแปลผิดแปลถูกแบบงูๆปลาๆให้ดูเป็นตัวอย่างเฉพาะท่อนหัวดังนี้ครับ
“....
กว่า30ปีภายหลังการปฏิรูป-เปิดกว้าง แม้ว่าเศรษฐกิจของประเทศจีนจะพัฒนาก้าวหน้าอย่างใหญ่หลวง
ทว่าการปฏิรูป-เปิดกว้างในภาครัฐบาล กลับไม่ได้พัฒนาก้าวทันอย่างทัดเทียม
หากสิ่งซึ่งเป็นความหวังและความต้องการปฏิรูปของสังคมจีนยังถูกละเลยถ่วงช้า
ไม่คืบหน้าทันความเปลี่ยนแปลง อำนาจรัฐยิ่งฟอนเฟะ
สร้างความไม่พอใจให้เกิดขึ้นในสังคมจนถึงจุดวิกฤต
ประเทศจีนก็เท่ากับได้สูญเสียโอกาสที่ดีในการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงอย่างสันติ
และย่อมหลีกเลี่ยงไม่พ้นการปฏิวัติด้วยกำลัง ที่จะนำไปสู่มิคสัญญีครั้งใหญ่...”
ท่านผู้อ่านที่รัก
คงเห็นพ้องกับผมนะครับ ว่าข้อเสนอดังกล่าวเปิดประเด็นดุเดือดเอาการอยู่
เรื่องแบบนี้ไม่ค่อยจะได้เห็นบ่อยนักในประเทศจีน โดยเฉพาะที่จะออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร
มีคนลงชื่อด้วยเยอะแยะอย่างนี้ จะเคยมีก็เมื่อ4-5ปีก่อนครั้งหนึ่ง
ที่มีการเข้าชื่อเรียกร้องให้แก้ไขความไม่เป็นธรรมทางสังคมและระบบราชการ
ลงนามโดยนาย หลิว เสี่ยวปอและนักวิชาการจำนวนหนึ่ง ลงเอยด้วยการที่นายหลิว
เสี่ยวปอ(ได้รางวัลโนเบลด้วย)ถูกกักขัง คนอื่นๆที่ร่วมลงชื่อ ก็ถูกคุกคามติดตาม
หมดอนาคตเสียผู้เสียคนไปเลย
เนื้อหาข้อเสนอที่เผยแพร่ในคราวนี้
ออกตัวยืนยันว่าเห็นด้วยกับแนวนโยบายของนาย สี จิ้น ผิง
ที่จะต้องสือทอดต่อยอดการปฏิรูป-เปิดกว้าง แต่เสนอว่าควรจะต้องทำประชามติเพื่อให้ประชาชนชาวจีนทั้งประเทศ
ได้ตระหนักรับรู้ถึงความสำคัญของการปกครองในระบอบนิติรัฐ
โดยยึดมั่นในรัฐธรรมนูญจีน ไม่มีใครจะใหญ่ไปกว่ากฎหมายและรัฐธรรมนูญ
ไม่ว่าข้าราชการหรือสมาชิกของพรรคฯ มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่ประเทศจีนจะสามารถปฏิรูปให้เป็นประชาธิปไตยอย่างยั่งยืน
ไม่ต้องลูบหน้าปะจมูก
ยอมรับครับว่าเป็นพัฒนาการทางการเมืองที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างยิ่ง
และน่าจับตาดูว่ารัฐบาลปักกิ่งและพรรคฯจะจัดการกับความคาดหวังครั้งใหญ่นี้อย่างไร…
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น