โดย รศ.พรชัย ตระกูลวรานนท์
สาขามานุษยวิทยา คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
สัปดาห์นี้ว่าตามความเป็นจริงแล้ว ก็มีข่าวสารน่าสนใจค่อนข้างมากจากประเทศจีน ไม่ว่าจะเป็นข่าวงานเทศกาลไหว้พระจันทร์ซึ่งจัดกันยิ่งใหญ่เป็นพิเศษในเขตเศรษฐกิจฮ่องกง ข่าวเขื่อนสามโตรกผาของจีนซึ่งเป็นโครงการเขื่อนเก็บกักน้ำและผลิตไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดของโลก เริ่มต้นเก็บกักน้ำเต็มขีดความสามารถของความจุเขื่อน หรือข่าวใหญ่เรื่องการส่งออกของจีนกลับมาขยายตัวเพิ่มในเดือนสิงหาคมมากถึงกว่าร้อยละ๒๔ หลังจากที่ชะลอตัวไปนานตามภาวะเศรษฐกิจโลกฯลฯ มีข่าวใหญ่ๆ มากเสียจนผมเองก็เลือกไม่ถูก ไม่รู้จะนำข่าวเรื่องใดมาขยายความนำเสนอท่านผู้อ่าน จนท้ายที่สุดหลังจากเปิดหาข่าวหลักๆ ดูไปจนหมดแล้วก็เผอิญไปพบว่ามีข่าวสองข่าวที่ดูจะขัดแย้งกันแปลกๆ ยังไงๆ อยู่คู่หนึ่ง ก็เลยเกิดสนใจค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติม ขออนุญาตนำมาเป็นประเด็นชวนคุยในสัปดาห์นี้เสียเลย
ข่าวแรก เป็นข่าวที่รัฐบาลกลางของจีนได้เข้าตรวจสอบติดตามภาวะหนี้สินของรัฐบาลท้องถิ่น สืบเนื่องจากข่าวผลการศึกษาของสภาวิจัยสังคมศาสตร์ของจีนที่ออกมาแสดงความห่วงใยในการใช้จ่ายและการลงทุน ที่แต่ละท้องถิ่นพากันทุมเทลงทุนจนเกิดหนี้สินรุงรังไปหมด ก่อนหน้านี้ก็เคยมีข่าว ว่าหลายแห่งใช้จ่ายเงินรายได้ไปกับการพัฒนาวิสาหกิจโดยที่ไม่ได้มีการศึกษาผลตอบแทนทางธุรกิจว่าคุ้มค่าหรือไม่ เห็นคนอื่นทำก็เลียนแบบทำตามๆกันไป จนท้ายที่สุดขาดทุนและต้องถูกบังคับให้ต้องยุติโครงการไปโดยปริยาย ผลการตรวจสอบของรัฐบาลกลางเที่ยวนี้ พบว่าท้องถิ่นของจีนในระดับต่างๆ มีหนี้สินอันเนื่องมาจากการลงทุนรวมกันกว่า 1.7ล้านล้านหยวน เรียกว่าเป็นตัวเลขที่เยอะเอามากๆ สำหรับคนไทยเรา ถ้าจะลองเปรียบเทียบดูก็ประมาณหลายเท่าตัวของงบประมาณแผ่นดินบ้านเรา หากเทียบกับ GDP ทั้งประเทศของจีน ก็ประมาณยังไม่ถึงครึ่งดีนัก แต่ถ้าเทียบกับ GDP ของท้องถิ่นจีนแล้ว ตัวเลขอาจสูงถึงร้อยละ 73 เรียกว่าเป็นระดับของหนี้สินที่มากเอาการอยู่ ผมเองก็ไม่ใช่ว่าจะรู้เรื่องทางเศรษฐศาสตร์สักเท่าใดหรอกครับ อีกทั้งความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์หลังผ่านวิกฤติเศรษฐกิจมาหลายรอบ ก็ดูจะไม่มีข้อยุติชัดเจนนัก ว่าสัดส่วนหนี้สินต่อ GDP เท่าไหร่จึงจะเรียกว่าอันตราย แค่ไหนถึงจะเรียกว่าปลอดภัย ทำนองคล้ายกับนักการเมืองฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาลในบ้านเรานั้นแหละครับ เวลาอภิปรายตัวเลขการกู้ยืมก่อหนี้ก่อสิน ดูเหมือนจะใช้ตำรากันคนละเล่ม เถียงกันไม่จบว่าหนี้เยอะแล้วใกล้จะล่มจม หรือว่ากู้มากำลังดี ยังกู้ได้อีกปลอดภัยแน่ๆ ขอเอาตัวเลขเปรียบเทียบของสามชาติใหญ่ๆ มาเป็นตัวอย่างก็แล้วกันนะครับ ในปี 2010 ของอเมริกา หนี้สินต่อ GDP เท่ากับ ร้อยละ53.5 ของประเทศญี่ปุ่นในปีเดียวกันเท่ากับร้อยละ 225.8 ของเยอรมนีเท่ากับร้อยละ 78.8 เปรียบเทียบดูแล้วก็ลองพิจารณาดูกันเอาเองเถอะครับ ว่ากรณีของท้องถิ่นจีน หนี้สินที่มีอยู่จะเรียกว่ามากหรือยังไม่มาก แต่ที่แน่ๆ ฝ่ายรัฐบาลกลางที่เข้าไปตรวจสอบเที่ยวนี้ สรุปออกมาแล้ว ว่ายังไม่ถึงขีดอันตราย และยังสามารถควบคุมได้อยู่ และจะไม่ยอมปล่อยให้ท้องถิ่นของจีนต้องตกอยู่ในภาวะหนี้ล้นพ้นตัวอย่างที่เกิดในบางประเทศของยุโรป อย่างไรก็ดีหากพิจารณาจากความตื่นตัวและมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลกลางกำหนดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ เช่นข้อกำหนดการขายพันธบัตรหรือตราสารเงินกู้ของท้องถิ่นที่เข้มงวดยิ่งขึ้น ห้ามไม่ให้ออกพันธบัตรโดยเด็ดขาดหากมีหนี้สินเดิมอยู่แล้วมากกว่างบประมาณประจำปีนั้นๆ จึงอาจกล่าวได้ว่า ท้องถิ่นของจีนหลายแห่ง กำลังเริ่มมีปัญหาหนี้สินอย่างไม่ต้องสงสัย และอาจนำไปสู่วิกฤตในระดับชาติ หากไม่มีการจัดการอย่างจริงจัง
ข่าวที่สอง ที่ผมบอกว่าขัดแย้งกับข่าวข้างต้น ก็คือข่าวหมู่บ้านที่รวยที่สุดของจีน เกิดเป็นข่าวดังไปทั่วประเทศก็เพราะ ผู้คนในหมู่บ้านร่วมทุนกันเป็นวิสาหกิจท้องถิ่นลงทุนก่อสร้างอาคาร 78 ชั้นสูง 328 เมตรกลางหมู่บ้าน และเตรียมจะเปิดให้บริการโรงแรมหรูในปลายปีนี้ ในโอกาสครบรอบ 50 ปีการก่อตั้งหมู่บ้านตั้งแต่เมื่อแรกเป็นคอมมูนการเกษตร ใช้เงินในการก่อสร้างไปไม่มากเท่าไรหรอกครับ แค่สามพันล้านหยวน ยังไม่นับร่วมรูปวัวทองคำบนยอดตึกหนักเกือบหนึ่งพันกิโลกรัม อีกทั้งยังเตรียมสั่งต่อเรือสำราญ 500 ที่นั่ง เพื่อบริการนักท่องเที่ยว ลงทุนขนาดนี้ ก็เลยดังไปทั้งประเทศ กลายเป็นเรื่องกล่าวขานวิพากษ์วิจารณ์กันทั้งประเทศ หมู่บ้านหัวซี ในมณฑลเจียงซูแห่งนี้ เติบโตร่ำรวยขึ้นมาจากโรงงานสิ่งทอ เหล็ก และการท่องเที่ยว เมื่อปีกลาย หมู่บ้านนี้ก็เคยตกเป็นข่าวดังมาแล้วรอบหนึ่ง เพราะสั่งซื้อเฮลิคอปเตอร์ที่เดียวสองลำ เอาไว้ให้นักท่องเที่ยวบินชมทิวทัศน์รอบหมู่บ้าน
หัวซีเป็นตัวแบบหมู่บ้านสมัยใหม่ในเขตมณฑลตะวันออกของจีน ที่เติบโตอย่างรวดเร็วจากการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เป็นโรงงานหลังบ้านให้กับเมืองใหญ่อย่างมหานครเซี่ยงไฮ้และนานจิง ในปี 2003 หัวซีเป็นหมู่บ้านหรือกลุ่มวิสาหกิจท้องถิ่นกลุ่มแรกที่มีผลผลิตมวลรวมต่อปีสูงถึงหนึ่งหมื่นล้านหยวน ด้วยพื้นทีเพียง .96 ตารางกิโลเมตรและประชากรเพียง 1,500 คน หัวซีรับนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศมากถึงสองล้านคนต่อปี หลายต่อหลายคนวิจารณ์การลงทุนของหมู่บ้านหัวซีว่าเป็นการลงทุนแบบบ้าเลือดบุ่มบ่าม ในโลกอินเตอร์เน็ตชาวเว็บวิจารณ์ว่าเป็นการโชว์ความร่ำรวยแบบคนบ้านนอก แต่สำหรับผู้บริหารหมู่บ้าน ประธานพรรคฯ และชาวบ้านในหัวซี อาคาร 328 เมตร หลังนี้ คือความภาคภูมิใจ หยาดเหงื่อแรงงานแห่งความสำเร็จ และอนาคตอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของชุมชนแห่งนี้ เป็นการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ จากการตรากตรำใช้แรงงานทำมาหากินในภาคอุตสาหกรรม มาเป็นธุรกิจภาคการให้บริการ อีกทั้งยังสร้างงานใหม่ๆ ที่สบายขึ้นให้กับหนุ่มสาวลูกหลาน ช่วยป้องกันไม่ให้คนรุ่นต่อๆ ไปต้องจากบ้านจากชุมชนไปหางานทำในเมืองใหญ่ข้างเคียง จะด่วนตัดสินว่าชาวหัวซีเป็นพวกอวดร่ำอวดรวย หรือจะบอกว่าเป็นเศรษฐีที่มีวิสัยทัศน์ อันนี้คงต้องรอดูกันต่อไป
สองตัวอย่างที่ยกมาเล่าให้ฟังในสัปดาห์นี้ ก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอกครับ เพียงแต่อยากให้เราจับตาดูบทบาทของท้องถิ่นจีนให้ดี ความเปลี่ยนแปลงมากมายกำลังเกิดขึ้น และน่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่จะมีผลต่อหน้าตาของประเทศจีนในอนาคตอย่างมากทีเดียว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น