โดย รศ.พรชัย ตระกูลวรานนท์
สาขามานุษยวิทยา
คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เมื่อปลายปีที่แล้ว ช่วงเดือนธันวาคม ตอนที่ประเทศจีนประกาศความสำเร็จของภารกิจการสำรวจดวงจันทร์ โดยยานสำรวจฉางเออร์2 ผมได้เคยนำเสนอท่านผู้อ่านเรื่องความก้าวหน้าในเทคโนโลยีอวกาศของจีนไปแล้วครั้งหนึ่งในคอลัมน์นี้ ว่าไปแล้ว การพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศของจีน ที่เพิ่งจะเริ่มต้นได้ไม่นานนัก ดูเหมือนจะก้าวหน้าเอาเรื่องอยู่พอสมควรทีเดียว หากนับจากการส่งยานที่มีมนุษย์ควบคุมขึ้นไปโคจรรอบโลก มาเป็นยานที่ไม่ต้องใช้มนุษย์ควบคุม (ฉางเออร์1 ปี2007 ) จนถึงฉางเออร์2 (2010) ดูเหมือนจีนใช้เวลาในการพัฒนาน้อยกว่าฝั่งตะวันตกอยู่มาก หากว่าในชั่วเวลาเพียงหนึ่งทศวรรษจีนสามารถพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศได้ด้วยตัวเองขนาดนี้ เป็นเรื่องคาดเดาได้ไม่ยากเลยว่าในอีก 10-20 ปีข้างหน้า เทคโนโลยีอวกาศของจีนจะไปถึงขั้นไหน แน่นอนว่าคงต้องใช้เวลาอีกมากหากจะไล่จี้ให้ทันชาติตะวันตก แต่ด้วยเงื่อนไขอื่นๆที่ดูจะได้เปรียบกว่า (ทั้งฐานะเศรษฐกิจปัจจุบันและจำนวนนักวิทยาศาสตร์ที่มากกว่า) นักวิชาการและนักวิจัยฝ่ายจีนจำนวนมาก ต่างมั่นใจว่าจีนจะสามารถกลายเป็นหนึ่งในผู้นำเทคโนโลยีอวกาศของโลกได้ในที่สุด ถึงขนาดที่ทำให้ผู้นำระดับสูงของพรรคฯ ออกมาประกาศเมื่อปลายปีที่แล้วว่าจีนจะมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการสำรวจพรมแดนของจักรวาล อีกทั้งยังได้ตั้งเป้าหมายว่าจีนจะสามารถสร้างสถานีอวกาศเพื่อการศึกษาทดลองในสภาวะไร้น้ำหนักได้ภายในปี 2016
ในเวลานั้น ข่าวความก้าวหน้าของจีนในเทคโนโลยีอวกาศ ทำให้เกิดการคาดเดาต่างๆตามมาอีกมากจากนักวิเคราะห์ชาติตะวันตก ตัวอย่างเช่น ข่าววงในเรื่องจีนวางแผนที่จะส่งยานสำรวจดาวอังคารภายในปี 2013 แม้จะยังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจนจากทางการหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบ แต่ดูเหมือนประเทศแถบตะวันตกต่างก็คาดเดาไปในทิศทางเดียวกันว่า จีนคงมีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่การสำรวจชั้นบรรยากาศและธรณีสัณฐานของดาวอังคาร เพื่อประเมินศักยภาพเชิงเศรษฐกิจของแหล่งแร่และทรัพยากรที่อาจจำเป็นสำหรับโลกในอนาคต การส่งยานอวกาศทั้งฉางเออร์1 และฉางเออร์2 จึงอาจไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อการสำรวจดวงจันทร์แต่อย่างใด ทว่าเป็นการทดสอบเพื่อเบิกทางไปสู่การสำรวจดาวอังคารในอนาคตอันใกล้ โดยแนวทางการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญในเทคโนโลยีอวกาศของฝั่งตะวันตก สิ่งซึ่งจีนยังไม่มั่นใจคือระบบการสื่อสารทางไกลหากจะต้องส่งยานสำรวจที่ไม่มีมนุษย์ไปยังดาวอังคาร เรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่งที่วงการวิทยาศาสตร์เฝ้าจับตาการพัฒนาของจีนอย่างมาก ก็คือข่าวที่จีนประกาศว่าจะสร้างสถานีอวกาศที่มีลูกเรือประจำการให้สำเร็จในราวปี 2016-2020 บรรดาข่าวกรองและนักวิเคราะห์ทางยุทธศาสตร์อวกาศตะวันตก ต่างก็รอดูว่าสถานีอวกาศนี้จะมีวัตถุประสงค์ทางการทหารเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่ เป้าสายตาที่เฝ้าดูกันอยู่ ก็คือตัวยานหลัก Tiangong-1 (วิมานสวรรค์) และ Shenzhou-8 (ยานเทวะ) อันจะเป็นยานชุดแรกที่จะขึ้นไปประกบตัวเป็นส่วนกลางของสถานีอวกาศ ฐานส่วนกลางนี้ จะเป็นตัวบ่งชี้สำคัญว่าวัตถุประสงค์ระยะยาวของสถานีอวกาศจะเป็นไปเพื่ออะไร เพราะที่ทางการจีนประกาศไว้นั้น ยาน Tiangong1 เมื่อขึ้นไปประกบต่อเชื่อมแล้ว จะเป็นส่วนของสถานีทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่มีนักวิจัยและมนุษย์อวกาศอยู่ประจำ
มาบัดนี้จรวด Long March-2FT1 ได้นำยาน Tiangong1ส่งขึ้นสู่ตำแหน่งโคจร ที่340กิโลเมตรเหนือพื้นผิวโลกเรียบร้อยไปแล้วตั้งแต่เมื่อหัวค่ำของวันที่ 29 กันยายนที่ผ่านมา หากไม่นับกระแสข่าวหุ้นตกที่เข้ามาบดบังแย่งพื้นที่หน้าหนังสือพิมพ์ ก็ต้องเรียกว่าเป็นข่าวใหญ่โตมากข่าวหนึ่งของสัปดาห์ที่ผ่านมา ยาน Tiangong1นี้จะลอยโคจรอยู่ประมาณหนึ่งเดือนก่อนที่ Shenzhou หมายเลข8 ซึ่งเป็นยานอวกาศไร้คนขับจะเดินทางไปต่อเชื่อมแบบอัตโนมัติโดยไม่ต้องมีนักบินอวกาศควบคุม หลังจากนั้นก็จะตามด้วยยาน Shenzhouหมายเลข9 และหมายเลข10 ในอีกสองปีข้างหน้า ซึ่งคาดว่าจะมีนักบินอวกาศเดินทางขึ้นไปด้วยและจะทำการต่อเชื่อมโดยมือมนุษย์ชาวจีนเป็นครั้งแรกในอวกาศ ยานหลัก Tiangong1 นี้ มีช่องต่อเชื่อมที่สามารถรับยานอื่นๆได้หลายลำ เพื่อให้บรรลุตามโครงการสถานีอวกาศสถานีแรกของจีน หลังจากที่สหรัฐอเมริกาและรัสเซียได้นำหน้าไปแล้วในการสร้างสถานีอวกาศเพื่อการศึกษาทดลองทางวิทยาศาสตร์ ที่สำคัญและอาจเป็นข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่งที่หลายฝ่ายรอคอยสังเกตการณ์อยู่ ก็คือขนาดของยานหลัก Tiangong1 ที่มีปริมาตรภายในเพียง15ลูกบาศก์เมตร ชัดเจนว่าน่าจะเป็นสถานีอวกาศเพื่อการทดลอง มากกว่าที่จะมีศักยภาพในทางอื่นตามข่าวลือก่อนหน้านี้ สรุปว่านักคาดการณ์ทางการทหารก็ตกงานไปเรียบร้อย
นอกเหนือจากความสำเร็จที่จีนสามารถพัฒนาโครงการอวกาศของตนได้ตามแผนแล้ว การเข้าสู่วงโคจรของ Tiangong1 ยังช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ของจีน หายใจหายคอได้อย่างโล่งอกยิ่งขึ้น ด้วยเหตุว่าก่อนหน้านี้ นักวิทยาศาสตร์ค่ายตะวันตกจำนวนหนึ่ง ได้ตั้งข้อสังเกตวิจารณ์ว่าจรวดนำส่งตระกูล Long March ของจีน อาจไม่สามารถไว้ใจพึ่งพาได้ หากเจอกับงานใหญ่ๆ มีโอกาสที่จะทำผิดพลาดไปไม่ถึงวงโคจรหรือหลุดวงโคจรอะไรทำนองนั้น แม้ว่าจรวด Long Marchของจีนที่ทยอยพัฒนามาแต่ละรุ่น จะได้เคยส่งดาวเทียมทั้งของจีนและของต่างชาติ ขึ้นไปสู่วงโคจรโดยเรียบร้อยมาแล้วหลายสิบดวง แต่การนำส่งยานTiangong1 คราวนี้ จัดเป็นบทพิสูจน์อย่างสำคัญ ว่าจีนสามารถพัฒนาจรวดนำส่งตระกูล Long March นี้ ให้ถึงจุดที่สมบูรณ์เป็นมาตรฐานและสามารถไว้ใจพึ่งพาได้เต็มร้อย ทำให้เป็นประโยชน์และรับรองมาตรฐานความน่าเชื่อถือในอุตสาหกรรมดาวเทียมของจีนไปด้วยในตัว
และเพื่อเป็นการยืนยันสมรรถนะของจรวดตระกูล Long March จีนก็เลยโฆษณาล่วงหน้าว่า ภายในปี 2020 จีนจะสามารถนำส่งชิ้นส่วนสถานีอวกาศน้ำหนักรวม 60 ตัน เพื่อขึ้นไปประกอบเป็นสถานีอวกาศที่สมบูรณ์ให้ได้ เรียกว่าเป็นการโฆษณาล่วงหน้าที่ท้าทายชาติมหาอำนาจทางอวกาศเจ้าอื่นๆ อย่างยิ่ง จะบอกว่าจีนเป็นตัวแทนชาวเอเชียในการแข่งขันทางเทคโนโลยีอวกาศ ก็ดูออกจะเป็นการตีขลุมแอบอ้างไปหน่อย แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าเราน่าจะต้องส่งกำลังใจช่วยลุ้นให้กับนักวิทยาศาสตร์ชาวจีน ให้สามารถสานฝันได้สำเร็จ ทั้งหมดนี้เพื่อความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์นะครับ ไม่ใช่แข่ง Star War กัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น