โดย รศ.พรชัย ตระกูลวรานนท์
สาขามานุษยวิทยา คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ในภาษาจีนมีคำพังเพยอยู่วลีหนึ่ง “โชคร้าย ไม่มาเดี่ยว” เทียบเป็นไทยเราก็คงทำนองว่า “เคราะห์ซ้ำ กรรมซัด”ช่วงนี้หากท่านผู้อ่านสังเกตติดตามข่าวสารจากประเทศจีนเป็นประจำทุกเช้าเย็นเหมือนอย่างผม คงได้เห็นข่าวในทางร้ายๆเสียมาก จะเรียกอีกที่ว่า “พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก” ก็คงได้ ทั้งน้ำท่วม แผ่นดินไหว แม่น้ำลากลายเป็นสีเลือดฯลฯ ปรากฏเป็นข่าวใหญ่ในสื่อระดับนานาชาติไปทุกสำนัก กลบข่าวนักกีฬาพาราลิมปิกของจีนไปเรียบร้อย ผมเองสัปดาห์นี้ก็เลยงงๆ ไม่รู้จะนำเสนอเรื่องราวอะไรดีที่พอจะเป็นเรื่องชูใจได้บ้าง เลยตัดสินใจขออนุญาตพาท่านผู้อ่าน เลี้ยวออกนอกประเทศจีน ไปดูบรรยากาศและผลการเลือกตั้งสส.ในเกาะฮ่องกงกันดีกว่า
เมื่อวันอาทิตย์ที่9ที่ผ่านมา มีการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติของฮ่องกง(LEGCO ) ต้องเรียกว่าเป็นการเลือกตั้งครั้งสำคัญที่จะตัดสินอนาคตการทำงานของท่านผู้ว่าฯ เหลียง ชุน-อิง(ชื่อทางการเป็นหัวหน้าคณะผู้บริหาร แต่ผมขอเรียกผู้ว่าฯตามแบบคนจีนเค้า) เพราะหลายเดือนมานี้บรรยากาศออกไปในทางไม่ดีเท่าไรนักสำหรับท่านผู้ว่าฯที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น “เด็กสายตรงของรัฐบาลปักกิ่ง”เฉพาะอย่างยิ่งต่อเนื่องมาหลายเดือนตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง ที่พรรคฝ่ายค้านกลุ่มเรียกร้องประชาธิปไตยแบบเต็มใบ ได้ทยอยออกมาขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวและภรรยา ภายหลังผลการเลือกตั้งเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผู้ว่าเหลียงคงหายใจหายคอได้ลำบากยิ่งขึ้น ขณะที่ผมกำลังเขียนต้นฉบับอยู่นี้ ดูเหมือนในเว็บไซต์กกต.ของฮ่องกงจะยังไม่มีการประกาศผลการเลือกตั้ง แต่คะแนนอย่างไม่เป็นทางการมีเผยแพร่ตั้งแต่เมื่อวันจันทร์แล้ว ว่ากลุ่มนิยมประชาธิปไตยฮ่องกงอันเป็นฝ่ายตรงข้ามกับปักกิ่ง น่าจะได้ที่นั่งเพิ่มขึ้น
จากข้อมูลล่าสุดที่มี การเลือกตั้งคราวนี้ มีพรรคต่างๆลงสมัครกัน20พรรคในส่วนสส.เขต แต่ในส่วนสส.กลุ่มอาชีพมีผู้สมัครอิสระเข้ามาด้วย ถึงตรงนี้คงต้องอธิบายเพิ่มว่าฮ่องกงมีสส.ทั้งหมด70ที่นั่ง แยกเป็นสส.เขต35ที่นั่ง สส.จากกลุ่มอาชีพอีก35ที่นั่ง หากจะว่ากันตามข้อมูลที่สรุปได้ตอนนี้ ฝ่ายนิยมปักกิ่งได้สส.เขต17ที่นั่ง สส.จากกลุ่มอาชีพ26ที่นั่ง รวมเป็น43ที่นั่ง ฝ่ายนิยมประชาธิปไตยได้สส.เขต18ที่นั่ง สส.จากกลุ่มอาชีพ9ที่นั่ง รวมเป็น27ที่นั่ง แม้ฝ่ายประชาธิปไตยจะได้ที่นั่งเพิ่มขึ้น แต่ผมก็เห็นข่าวนายอัลเบิร์ท โฮ หัวหน้าพรรคประชาธิปไตยฮ่องกงประกาศรับผิดชอบลาออก เพราะคะแนนส่วนของพรรคหายไปมาก ทำนองว่าฝ่ายนิยมประชาธิปไตยตัดคะแนนกันเองในหลายเขต
ว่าไปแล้ว ผลการเลือกตั้งที่ออกมา ต่างไปจากที่นักวิเคราะห์หลายสำนักได้คาดการณ์กันไว้เล็กน้อย เพราะก่อนหน้านี้กระแสการต่อต้านอำนาจของปักกิ่งดูท่าทางมาแรงมาก บวกเข้ากับนโยบายบรรจุวิชารักชาติแผ่นดินจีนให้นักเรียนชั้นประถมของท่านผู้ว่าฯ ก็เลยสร้างกระแสให้ชาวฮ่องกงค่อนไปในทางหมั่นไส้และไม่ไว้วางใจ นักวิเคราะห์ทางการเมืองเลยเชื่อกันว่า เลือกตั้งเที่ยวนี้ ฝ่ายเรียกร้องประชาธิปไตยน่าจะเข้าสภามาได้มาก และอาจจะเอาชนะฝ่ายนิยมปักกิ่ง เที่ยวนี้ฝ่ายนิยมประชาธิปไตยดูเหมือนได้ใจได้เสียง แต่ยังได้คะแนนไม่มากพอ อะไรเป็นเหตุให้การเลือกตั้งออกมาในแนวทางนี้ คงตอบให้ชัดได้ยาก แต่เฉพาะหน้าปัจจัยที่เห็นๆกันอยู่ ฝ่ายค้านหรือพวกนิยมประชาธิปไตยจัด ดูเหมือนจะไม่เป็นเอกภาพเท่าไรนัก แม้จนนาที่สุดท้ายวันรับสมัครผู้เข้ารับการเลือกตั้ง ผมยังเห็นมีข่าวทะเลาะกันเรื่องเขตพื้นที่ เคลียร์กันไม่ลง ท้ายสุดคงไม่พ้นตัดคะแนนกันเอง เรื่องขาดเอกภาพนี้เห็นเป็นมาหลายเวที รวมทั้งระดับความเข้มข้นของการต่อต้านการบังคับใช้นโยบายจากปักกิ่ง แต่ละกลุ่มต่างก็มีแนวทางของตน เรียกว่าแยกย้ายกันเข้าตี พอถึงเวลาก็เลิกเอาเฉยๆ ปัจจัยอย่างที่สองที่มีการพูดกันมากก็คือ แม้คราวนี้คนจะออกมาใช้สิทธิ์กันมาก คือร้อยละ53ของจำนวนผู้มีสิทธิ์ทั้งหมด3.4ล้านคน มากกว่าคราวเลือกตั้งปี2008 ที่ออกกันมาเพียงร้อยละ45.2 แต่คำถามคือพวกที่อ้างว่าต้องการให้ฮ่องกงเป็นประชาธิปไตย และพวกที่กล่าวหาว่าปักกิ่งครอบงำการเมืองฮ่องกง อยู่ในกลุ่มที่ออกมาลงคะแนน หรืออยู่ในกลุ่มที่นอนหลับอยู่กะบ้าน ในบรรดาผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ส่วนใหญ่ก็ยังตอบตัวเองไม่ได้ว่า ตกลงต้องการเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ หรือต้องการเห็นเศรษฐกิจฮ่องกงขยายตัวต่อเชื่อมเป็นเนื้อเดียวกับเศรษฐกิจจีน พอสองจิตสองใจตอบไม่ได้ ก็เลยตัดสินใจนอนอยู่กะบ้าน ไม่ยอมออกมาทำหน้าที่หรือเปล่า
ปัจจัยข้อที่สองนี้ เป็นเรื่องที่ชาวบ้านร้านตลาดทั่วไปพูดกันมากในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ก่อนหน้านั้นมีบทความวิเคราะห์เศรษฐกิจเปรียบเทียบ ระหว่างการขยายตัวของฮ่องกงกับสิงคโปร์ลงตีพิมพ์ในประเทศจีน และถูกนำมาพิมพ์ซ้ำในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของฮ่องกงที่เป็นฉบับภาษาจีน เนื้อความทำนองว่า คนฮ่องกงจำนวนมากไม่พอใจที่เห็นเศรษฐกิจของสิงคโปร์ขยายล้ำหน้าไปไกล ทั้งที่เมื่อก่อนเป็นรองฮ่องกงอยู่มาก ในช่วงเกือบ20ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจ( GDP) ของฮ่องกงขยายตัวได้เพียงร้อยละ3.96โดยเฉลี่ย ในขณะที่สิงคโปร์ที่เคยเป็นรองกลับขยายได้ถึงร้อยละ6.6โดยเฉลี่ย ชาวฮ่องกงมัวแต่โทษว่าเป็นเพราะเมื่อรวมกับจีนแผ่นดินใหญ่แล้วทำให้เศรษฐกิจแย่ลง แต่ไม่เคยไตร่ตรองดูว่าความวุ่นวายทางการเมืองภายใน ที่ชาวฮ่องกงก่อขึ้น (จากการประท้วงผู้ว่าฯ ประท้วงปักกิ่ง ประท้วงสิทธิมนุษยชนฯลฯ) ได้บั่นทอนบรรยากาศการลงทุนไปมากแค่ไหน ในขณะที่สิงคโปร์มีบรรยากาศทางการเมืองที่สงบเรียบร้อยมากกว่า หากชาวฮ่องกงมีความจริงใจที่จะร่วมกันสร้างเศรษฐกิจให้ก้าวหน้า และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนส่วนใหญ่(ไม่เฉพาะคนชั้นกลางเรื่องมาก บ่นมาก)บนเกาะฮ่องกง ก็ย่อมสามารถทำได้ และจะทำได้ดีกว่าสิงคโปร์ แต่ชาวฮ่องกงควรต้องยุติการทำให้เรื่องทุกเรื่องเป็นประเด็นทางการเมืองและความขัดแย้งระหว่างจีนแผ่นดินใหญ่และเกาะฮ่องกงไปเสียหมด
บทความชิ้นดังกล่าวในสายตานักประชาธิปไตย อาจถือได้ว่าเป็นการข่มขู่หรือแบล็คเมล์ทางการเมือง ทำนองว่าจะเอาประชาธิปไตยเต็มใบ หรือจะเอาปากท้องเป็นเรื่องใหญ่ แต่ดูเหมือนประชาชนชาวฮ่องกงจำนวนไม่น้อย ไม่รู้สึกว่าโดนข่มขู่ และอาจได้ตัดสินใจไปแล้วในการเลือกตั้งคราวนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น