รองศาสตราจารย์ พรชัย ตระกูลวรานนท์
สาขามานุษยวิทยา
คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
จนบัดนี้ ต้องเรียนท่านผู้อ่านที่รักว่า
หน้าสื่อต่างๆของจีน ยังไม่ได้กลับเข้าสู่โหมดปรกติเท่าใดนัก
ควันหลงเทศกาลตรุษจีนยังคงยึดครองหน้าสื่อหลักๆอยู่โดยถ้วนทั่ว ปีนี้ผมมีข้อสังเกตว่าอารมย์เฉลิมฉลองเทศกาลดูจะยาวมากเป็นพิเศษ
พลอยทำให้ข่าวสารอื่นๆดูลดน้อยไปกว่าที่ควรจะเป็น
อันนี้ก็บ่นในฐานะที่ต้องติดตามแสวงหาเรื่องราวมานำเสนอ
แต่หากหันไปดูสื่อตะวันตกในช่วงนี้
กลับพบว่ามีข่าวสารเกี่ยวกับประเทศจีนที่น่าสนใจอยู่หลายเรื่อง
ที่ดังมากเป็นพิเศษปรากฏอยู่ในสำนักข่าวหลายแห่งของชาติตะวันตก
คงหนีไม่พ้นรายงานการศึกษความเป็นไปได้ของข้อหาที่ว่า
รัฐบาลจีนอาจอยู่เบื้องหลังสนับสนุนให้มีการแฮกข้อมูลผ่านเครือข่าย
ล้วงเอาความลับของบริษัทเอกชนตะวันตกจำนวนนับร้อยราย
เชื่อว่าข่าวนี้คงกลายเป็นประเด็นวิวาทะกันได้อีกยาว อย่างไรก็ดี เรื่องที่ผมเห็นว่าน่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งนั้น
ไม่เกี่ยวกับแฮกเกอร์จีน แต่เป็นเรื่องรายงานการศึกษาของนักวิชาการจากธนาคารโลก
เกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจของจีน หากจริงก็จัดว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก
จะขอนำมาเสนอเป็นประเด็นในสัปดาห์นี้ครับ
รายงานการศึกษาที่ว่านี้ เป็นของนาย Ejaz Ghani
นักวิชาการเศรษฐศาสตร์จากธนาคารโลก
ว่าที่จริงเปิดเผยออกมาตั้งแต่เมื่อปลายเดือนมกราคมแล้ว
แต่เพิ่งจะมาเป็นข่าวพูดถึงกันมากในสื่อหลักๆของตะวันตก
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง งานศึกษาชิ้นดังกล่าวเป็นการเปรียบเทียบแนวโน้มพัฒนาการทางเศรษฐกิจระหว่างจีนกับอินเดีย
แต่ที่ผมสนใจนั้นจะเป็นส่วนการวิเคราะห์ของนาย Ejaz Ghani
เกี่ยวกับข้อมูลตัวเลขที่ชี้ว่า กำลังมีแนวโน้มการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของจีน
จากประเทศอุตสาหกรรมไปสู่การเป็นประเทศหลังอุตสาหกรรม
ที่เรียกกันว่าประเทศหลังอุตสาหกรรมนั้น หมายความว่า
สัดส่วนมูลค่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจเกินกว่าครึ่งหนึ่งของผลิตภัณฑ์มวลรวม ต้องมาจากภาคบริการหรืออุตสาหกรรมสร้างสรรค์รูปแบบอื่นๆ
เราทราบกันดีว่าในปีที่ผ่านมา
การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนนั้น อาศัยพลังมหาศาลจากภาคการผลิตอุตสาหกรรม
การก่อสร้าง เหมืองแร่ฯลฯ รวมกว่าร้อยละ47ของGDPจีน ในขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา
ในปี2012กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มาจากการผลิตภาคอุตสาหกรรมนั้น มีมูลค่าเพียงร้อยละ20ของGDPเท่านั้น ที่เหลือมาจากภาคอื่นๆโดยมีธุรกิจบริการเป็นตัวชูโรง เช่นเดียวกับอีกหลายประเทศในยุโรป
อย่างไรก็ดี จากการศึกษาของ Ejaz Ghani ในปี2012ตัวเลขมูลค่าทางเศรษฐกิจของจีนที่มาจากภาคบริการ
ได้ปรับเพิ่มขึ้นอย่างน่าสนใจมาเป็นร้อยละ45.3ของ GDP ตัวเลขห่างจากร้อยละ47ในภาคอุตสาหกรรมไม่มาก
แน่นอนว่าภาคบริการของจีนยังคงเทียบไม่ได้กับประเทศหลังอุตสาหกรรมอื่นๆในตะวันตก
แต่ก็ต้องถือว่าเป็น สัญญาณปรับเปลี่ยนที่น่าสนใจ
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับสัดส่วนGDPข้างต้นนี้
อาจมองได้ว่าเป็นผลโดยตรงจากการปรับตัวครั้งสำคัญของอุตสาหกรรมจีน
ภายหลังที่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินในตะวันตก มูลค่าการส่งออกที่ลดลงของจีน ทำให้ต้องดิ้นรนปรับเปลี่ยนเพื่อกระตุ้นและสร้างการบริโภคภายในรูปแบบใหม่ๆมาทดแทน
และอาจเป็นที่มาของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคบริการที่เพิ่มขึ้น เพราะภาคบริการเป็นช่องทางที่ได้ผลดีและเร็วในการดูดซับแรงงานจากภาคอุตสาหกรรมที่ต้องลดปริมาณการผลิตและเลิกจ้างคนงาน
ว่าที่จริงแนวโน้มนี้ก็สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของรัฐบาล
ที่อยากเห็นประเทศจีนปรับเปลี่ยนไปสู่อุตสาหกรรมสร้างสรรค์และธุรกิจภาคบริการเพิ่มมากขึ้น
รัฐบาลจีนได้กำหนดวิสัยทัศน์ในทำนองนี้มาตั้งแต่ในคราวยกร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่10(2001-2005)
และก็ยังคงปรากฏเป็นเป้าหมายสำคัญของการพัฒนาในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่11และ12ของจีน
อย่างไรก็ดี ประเด็นเรื่องนี้ก็ใช่ว่าจะมีคนเห็นด้วยไปเสียทั้งหมด
ปัญหาประการหนึ่งที่นักวิชาการสายจีนส่วนใหญ่ยังไม่สู่แน่ใจเกี่ยวกับรายงานและบทวิเคราะห์ของ
Ghani
ทำนองฟังหูไว้หู อาจเพราะยังติดใจกับประเด็นเรื่องตัวเลขที่ Ghani
รวบรวมมาจากสถิติของทางการจีน การแจงนับว่าอะไรเป็นอุตสาหกรรมสร้างสรรค์และบริการ
ตามนิยามที่ใช้กันอยู่ในประเทศจีนนั้น อาจไม่ได้สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันกับนิยามของสากลทั่วไป
ตัวอย่างเช่นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าการเกษตรบางชนิด
จะนับว่าเป็นอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ได้หรือไม่ หรือปัญหาว่าควรแยกผลงานสร้างสรรค์นวนิยายออกจากอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์
จะคิดสัดส่วนอย่างไร รายได้ในอุตสาหกรรมโฆษณา ควรถือเป็นเอกเทศ
หรือเป็นค่าใช้จ่ายที่นับเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนสินค้าอุตสาหกรรม ในกรณีของจีน
ดูเหมือนมีความพยายามที่จะนิยามและแจงนับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ยังไม่ชัดเจน คาบลูกคาบดอกทั้งหมดว่าเป็นอุตสาหกรรมสร้างสรรค์
ทำนองเดียวกับการนับธุรกิจร้านขายใบชาที่ให้บริการชงชาพร้อมดืม(ต่างจากโรงน้ำชาแบบโบราณของจีน)
หรือร้านยาสมุนไพรจีนที่ให้บริการวินิจฉัยโรคก่อนจัดยาชุดให้
ว่าเป็นธุรกิจภาคบริการ
ไม่ว่าสัดส่วนที่แท้จริงของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์และภาคบริการของจีน
จะเป็นตัวเลขร้อยละเท่าใดของGDPก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่เรามั่นใจและเชื่อได้ก็คือ
จีนมุ่งหน้ามาทางนี้แน่ๆ และในเวลาเดียวกัน
จีนก็จะพยายามผลักดันฐานการผลิตอุตสาหกรรมหนักที่ก่อมลพิษออกนอกประเทศ
เพื่อเป็นการปรับสมดุลย์ในอีกรูปแบบหนึ่ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น