โดย รศ.พรชัย ตระกูลวรานนท์
สาขามานุษยวิทยา คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เมื่อประมาณสักสองสัปดาห์ก่อน ผมได้รับการทาบทามจากเพื่อนผู้สื่อข่าวจากสถานีวิทยุCRIสำนักงานใหญ่ที่กรุงปักกิ่ง โทรมาขอให้เตรียมตัวให้พร้อม จะให้จัดรายการสดร่วมกันข้ามประเทศในวันที่ 5 มีนาคม เพื่อสรุปและแยกแยะประเด็นการประชุมใหญ่สองสภาฯ ที่กำลังจะมาถึงตอนต้นเดือนหน้า จากมุมมองทางวิชาการคนนอกอย่างผม ตกปากรับคำเขาไปแล้วก็มานั่งกลุ้มใจกลัวจะหน้าแตกกลางอากาศ หลายวันมานี้เลยต้องมานั่งค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติม เลยจะขอถือโอกาสเอามาเล่าสู่ท่านผู้อ่าน ได้รับทราบเป็นข้อมูลพื้นฐานเอาไว้ หากเขาประชุมกันเสร็จเรียบร้อย ได้ความว่าอย่างไร ผมจะได้นำมารายงานเพิ่มเติมโดยไม่ต้องเท้าความใหม่
ที่เรียกกันว่าประชุมสองสภาฯ 2012 นั้น คือ การประชุมสมัชชาประชาชนแห่งชาติสมัยที่11ครั้งที่ 5 และการประชุมสภาที่ปรึกษาการเมืองประชาชนจีนสมัยที่11 ครั้งที่ 5 (บางครั้งก็เรียกย่อๆว่าสภานิติบัญญัติและสภาที่ปรึกษา) ไม่ใช่เรื่องประหลาดใดๆ ในระบบการเมืองของจีน เพียงแต่เที่ยวนี้จะมีเรื่องสำคัญที่ผู้คนสนใจมากเป็นพิเศษ ก็คือ การประชุมสองสภาเที่ยวนี้ จัดขึ้นก่อนหน้าและจะนำไปสู่การประชุมสมัชชาแห่งชาติพรรคคอมมิวนีสต์จีนครั้งที่18 ซึ่งคาดการณ์กันว่าจะมีเรื่องการถ่ายโอนอำนาจผู้นำระดับสูงรุ่นใหม่ โดยเฉพาะตัวประธานาธิบดีบรรจุอยู่ในวาระ บรรดาฝรั่งต่างชาติและผู้สนใจเรื่องประเทศจีนก็เลยเฝ้าจับตากันเป็นพิเศษกว่าคราวอื่นๆ เฉพาะในส่วนการประชุมสองสภาฯ สิ่งซึ่งนักวิเคราะห์ทั้งภายในและภายนอกประเทศเฝ้าติดตาม ก็คือ นโยบายหลักๆ ทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองจีนภายใต้แรงกดดันของสถานการณ์โลก จะมีการเปลี่ยนแปลงหลักๆ ประการใดหรือไม่
เท่าที่ผมค้นคว้าหาดูจากแหล่งต่างๆ ขออนุญาตเดาว่าน่าจะมีเรื่องสำคัญทางนโยบายที่จะต้องมีการหารือกันในการประชุมครั้งนี้อยู่ประเด็นเดียว คือ ประเด็นปัญหานโยบายทางเศรษฐกิจ เรื่องอื่นๆนั้นผมขอฟันธงว่าในระดับผู้นำเขาเคาะกันไปเรียบร้อยแล้ว ล็อกโหวตได้เลยไม่จำเป็นต้องหารือให้เครียดแต่อย่างใด ที่ว่ามีประเด็นต้องหารือด้านนโยบายเศรษฐกิจอย่างจริงจังนั้น ก็เพราะมีกระแสข่าวเล็ดรอดมาระยะหนึ่งแล้วว่าในระดับผู้นำของจีน ความคิดความเห็นในเรื่องทิศทางเศรษฐกิจยังแยกออกเป็นหลายแนวทาง ไม่ลงรอยกันเสียทีเดียวนัก สาเหตุส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะมีประเด็นทางการเมืองทั้งภายในประเทศและภายนอกประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง ท่านผู้อ่านคงจำกันได้นะครับว่านับแต่ขนาดเศรษฐกิจของจีนขยายตัวจนแซงหน้าญี่ปุ่นไปเป็นอันดับสองของโลกเมื่อปีที่แล้ว ประกอบกับการที่เศรษฐกิจในฝั่งตะวันตกพากันเดี้ยงไปทีละประเทศ ไม่ว่าในสหรัฐอเมริกาหรือในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจยุโรป ทำให้จีนกลายมาเป็นความหวังและถูกกดดันว่าจะต้องมีบทบาทอย่างสำคัญในการฟื้นฟูสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของทั้งโลก อย่างน้อยจีนก็ถูกคาดหวังในสองประการหลักๆ หนึ่งคือการเข้าไปมีส่วนช่วยเหลือโดยตรงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของชาติที่มีปัญหา และอีกด้านหนึ่ง จีนก็ถูกเรียกร้องให้รักษาระดับความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในส่วนของจีนไว้เพื่อให้ชาติอื่นๆที่ผูกพันกับการลงทุนในจีนไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง เรื่องแบบนี้หากมองดูโดยผิวเผิน อาจรู้สึกว่าจีนได้หน้า ได้รับความเชื่อมั่นและไว้วางใจให้เป็นผู้เข้ามาช่วยกอบกู้เศรษฐกิจโลก แต่แท้จริงแล้วการได้หน้าได้ตาแบบนี้ จีนก็ต้องตกอยู่ในสภาวะเสี่ยงสูง ปัญหาขัดแย้งทางนโยบายระหว่างการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจกับการรุกขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เป็นทางสองแพ่งที่จีนต้องเจอมาตลอดสิบกว่าปีมานี้ และเป็นปัญาหาที่ตัดสินใจได้ยากยิ่ง แม้ว่าในช่วงปี 2009-2011 จีนจะได้เคยประกาศไว้อย่างชัดเจน ว่าจีนจำเป็นต้องเลือกแนวทางการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยชะลอความร้อนแรงและการลงทุนใหม่ๆออกไป แต่ในทางปฏิบัติ ตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนในทั้งสามปีที่ผ่านมา ก็ยังคงเดินหน้าเต็มที่ หากพิจารณาดูในรายละเอียด จีนต้องจำยอมเลือกเส้นทางประคองให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเติบโตอย่างคงที่ และปล่อยให้ปัญหาเงินเฟ้อขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมและปัญหาการกระจายตัวของรายได้ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข เพราะทุกครั้งที่มีการพูดถึงการปรับฐานเชิงโครงสร้าง ข้อกังวลเรื่องอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจและปัญหาการว่างงาน ก็จะเข้ามาบดบังและช่วงชิงความสำคัญจำเป็นเฉพาะหน้าไป ในหลายกรณีตัวอย่าง ทั้งๆที่จีนเจอกับปัญหาเงินเฟ้ออย่างหนัก แต่ธนาคารชาติของจีนยังตัดสินใจลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นไม่ให้การลงทุนภายในทรุดเพราะปัญหาเศรษฐกิจในฝั่งสหรัฐฯและยุโรป
ผลของการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจอย่างที่เป็นจริงในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ทำให้ตอนนี้เกิดความวิตกกังวลกันในหมู่นักเศรษฐศาสตร์ของจีนว่า จีนอาจกำลังเข้าสู่ปัญหาทางเศรษฐกิจที่สลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น กล่าวคือเศรษฐกิจจีนกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อการชะลอตัวทางเศรษฐกิจครั้งรุนแรงพร้อมๆกับเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น (ทั้งฝืดทั้งเฟ้อพร้อมๆกัน) บวกเข้ากับปัญหาสะสมระหว่างคนรวยในเขตเมือง คนยากจนในชนบท และแรงงานยากจนในเมืองเศรษฐกิจใหญ่ๆ นี่ยังไม่นับปัญหาด้านความมั่นคงทางการเมืองที่อาจตามมา เพราะจีนเคยรับปากว่าจะทุ่มพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษในภูมิภาคตะวันตกที่ส่วนใหญ่เป็นเขตปกครองตนเองของชนชาติส่วนน้อย ไม่ว่าจะเป็นธิเบต ซินเจียง หรือชิงไฮ่ เรื่องหลังนี้จัดว่าเป็นเรื่องใหญ่อย่างยิ่ง ในยุคสมัยที่มีปัญหาการลุกฮือเรียกร้องเสรีภาพและประชาธิปไตยเกิดขึ้นในประเทศต่างๆแถบแอฟริกาและโลกอาหรับ การพัฒนาทางเศรษฐกิจเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของชนชาติส่วนน้อยให้ทัดเทียมพลเมืองจีนในแถบชายฝั่งตะวันออก หากทำไม่ได้อย่างที่เคยรับปากโฆษณาไว้ หรือทำแต่ช้าเกินการณ์ อาจนำไปสู่การลุกฮือครั้งใหญ่อย่างที่มหาอำนาจตะวันตกบางประเทศพยากรณ์และจ้องดูอยู่
การประชุมสองสภาครั้งนี้ ผมถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะอย่างน้อยจะทำให้เราได้เห็นทิศทางในอนาคตที่เกี่ยวข้องกับภูมิภาคนี้โดยรวม จีนจะเลือกเดินไปทางไหน ยืนยันขยายตัวทางเศรษฐกิจเพื่อเป็นพี่เบิ้ม หรือยอมปรับฐานโครงสร้างครั้งใหญ่เพื่อสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว ต้องจับตาดูกันต่อไปครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น