โดย รศ. พรชัย ตระกูลวรานนท์
สาขามานุษยวิทยา
คณะสังคมวิทยาและมานุษยวทยา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
หากกล่าวถึงเทศกาลตรุษจีนจากประสบการณ์ของคนไทยหรือคนไทยเชื้อสายจีนในบ้านเรา ก็มีพัฒนาการเปลี่ยนแปลงมาตามยุคตามสมัย จากที่ยุคสมัยหนึ่ง ร้านรวงหยุดกิจการเงียบเหงาไปทั้งบ้านทั้งเมือง เป็นเทศกาลหยุดงานยาวนานที่สุดของปี สำหรับภาคเอกชน แต่มาถึงปัจจุบัน ตรุษจีนอาจลดความสำคัญลงในฐานะเทศกาลที่มีผลต่อธุรกิจการค้าหากเทียบกับเทศกาลสงกรานต์ ที่ได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐให้กลายเป็นวันครอบครัว และมักมีมติคณะรัฐมนตรีให้เพิ่มวันหยุดแถมต่อหัวต่อท้ายเพิ่มเติมอยู่เสมอๆนัยว่าส่งเสริมการท่องเที่ยว เลยทำให้เทศกาลสงกรานต์กลายเป็นช่วงหยุดยาวแห่งชาติโดยปริยาย
ในประเทศจีนเองก็เช่นกัน ในยุคโบราณเทศกาลงานฉลองตรุษจีนอย่างต่ำสุดใช้เวลาต่อเนื่องถึง15 วัน นับแต่วันสงท้ายปีเก่ายาวไปถึงวันขึ้น 15 ค่ำเดือนหนึ่งจีน ชนกับเทศกาลแรกของปีคือเทศกาลหยวนเซียว ครั้นมาถึงยุคจีนใหม่(คอมมิวนีสต์) แม้ตรุษจีนยังคงถือเป็นเทศกาลหลักของชาติ แต่บรรดาพิธีกรรมต่างๆในรายละเอียด ก็ถูกละเลยไปมาก ยิ่งในยุคปฏิวัติวัฒนธรรม ตรุษจีนถูกกระทำในทางการเมืองให้เป็นพิธีการมากกว่าจะเป็นพิธีกรรมตามความเชื่อในวัฒนธรรมเดิมของจีน เทศกาลตรุษจีนเป็น 1 ในเทศกาลที่มีการหยุดพักผ่อนยาวสิบวัน เช่นเดียวกับวันแรงงาน และวันชาติ 1 ตุลาคม มาถึงยุคปัจจุบัน เฉพาะอย่างยิ่งภายหลังการปฏิรูปเปิดกว้างให้มีการพัฒนาแบบสมัยใหม่ เทศกาลตรุษจีนก็ดูจะคึกคักมากขึ้น คล้ายๆกับการพัฒนาในหลายประเทศ จีนเองก็เริ่มผ่อนปรนให้มีแรงงานอพยพออกทำงานต่างมณฑลมากขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้แทบเป็นไปไม่ได้ภายใต้การผลิตแบบคอมมูนเดิม เทศกาลตรุษจีนก็เพิ่มความสำคัญในฐานะเกือบๆจะเป็นวันครอบครัว เพราะเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนต่างคาดหวังว่าจะได้กลับบ้านไปร่วมฉลองรับปีใหม่พร้อมหน้าพร้อมตากัน อย่างน้อยก็หยุดยาวสิบวันอยู่กับครอบครัวพ่อแม่ ยิ่งคนที่ทำงานหากินต่างถิ่นไกลบ้านเกิด ก็จะยิ่งตั้งตาคอยมากเป็นพิเศษ
แต่มาถึงทุกวันนี้ เรื่องราวการกลับบ้านเพื่อฉลองตรุษจีน ไม่ใช่เรื่องสนุกที่ตั้งตาคอยสำหรับคนทุกกลุ่มในสังคมจีนเสียแล้ว มีรายงานข่าวปรากฏในหนังสือพิมพ์จีนหลายฉบับ และเป็นประเด็นสนทนาบนอินเตอร์เน็ทจีน สะท้อนภาพปัญหาและความหนักใจของหนุ่มสาวจีนจำนวนมาก ตัวอย่างหนึ่งที่มีการโพสต์ลงบนอินเตอร์เน็ท ได้แก่ จดหมายสารภาพถึงพ่อ ซึ่งได้รับการกล่าวขานและแสดงความคิดเห็นมากที่สุดประเด็นหนึ่งในโลกอินเตอร์เน็ทของจีน เนื้อความในจดหมาย พรรณนาว่า ตัวเองสู้อุตสาห์เรียนจนจบมหาวิทยาลัย ทุมเทกว่าจะหางานทำในเมืองได้ก็เกือบปี บัดนี้มีงานทำมาได้กว่าหกเดือนแล้ว แต่เงินเดือนที่ได้เพียงแค่พันกว่าหยวนต่อเดือน น้อยกว่าเงินเดือนกรรมกรของพ่อที่เป็นแรงงานอพยพทำงานก่อสร้าง ค่าใช้จ่ายแค่เดือนชนเดือนก็แสนลำบาก เขารู้สึกละอายใจที่ทำให้ครอบครัวต้องผิดหวัง ไม่มีหน้าจะกลับบ้านไปฉลองปีใหม่กับพ่อและแม่ ทันทีที่จดหมายฉบับนี้เผยแพร่บนอินเตอร์เน็ท ก็มีคนหนุ่มสาวมากมาย แห่เข้าไปให้กำลังใจกับเจ้าของจดหมาย พร้อมทั้งสนับสนุนให้กับบ้านไปหาพ่อแม่ ไม่ว่าจะมีเงินหรือไม่ก็ตาม อีกทั้งยังเล่าชีวิตส่วนตัวว่าพวกเราหนุ่มสาวที่ทำงานหลังเรียนจบก็เป็นแบบเดียวกัน บางคนต้องโกหกครอบครัวมาโดยตลอด ว่าได้งานดีเงินดีชีวิตมีความสุขมาก แต่กลับบ้านช่วงตรุษจีนไม่ได้เพราะต้องทำงานพิเศษหาเงินเพิ่ม บ้างก็ต้องโกหกพ่อแม่ว่าบริษัทมียอดขายสินค้าส่งออกเพิ่ม จำเป็นต้องอยู่ทำงานเพิ่มผลผลิตสินค้าฯลฯ สารพัดข้อแก้ตัวที่จะไม่กลับบ้านไปฉลองตรุษจีน
การที่บัณฑิตใหม่ทำงานได้เงินเดือนน้อย อาจดูเป็นเรื่องสวนกระแสอยู่พอสมควร เพราะเมื่อไม่นานมานี้เองเพิ่งจะมีการสำรวจเงินเดือนเจ้าหน้าที่ระดับบริหารของรัฐวิสาหกิจจีนเมื่อต้นปี2010 พบว่าเงินเดือนโดยเฉลี่ยมากกว่า 600,000 หยวนต่อปี เพิ่มจากค่าเฉลี่ย 550,000 หยวนในปีที่แล้ว จะว่ามากก็มาก จะว่าน้อยก็พูดได้ อยู่ที่จะเปรียบเทียบกับใครประเทศไหน แต่สำหรับเด็กจบใหม่ โดยเฉพาะสำเร็จจากมหาวิทยาลัย ความคาดหวังทั้งของพ่อแม่และตัวบัณฑิตเอง กลับตรงข้ามกับชีวิตจริงของตลาดแรงงานที่มีการแข่งขันสูง ในบรรดาบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาในปีการศึกษา 2009 จำนวน 6.11 ล้านคน มีเพียง 4.15 ล้านคนที่สามารถหางานทำได้ภายในหกเดือน เท่ากับร้อยละ 68 ในขณะที่ปี 2008 มีบัณฑิตหางานทำได้ 4.05ล้านคนจากบัณฑิตใหม่ 5.59 ล้านคน ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าตัวเลขเด็กใหม่ที่ยังหางานไม่ได้ในปีที่สำเร็จการศึกษา จะพอกทบเข้าไปแข่งขันหางานร่วมกับบัณฑิตรุ่นน้องที่สำเร็จการศึกษาในปีถัดไป จำนวนบัณฑิตที่ผลิตเพิ่มขึ้นทุกปี กับตำแหน่งงานที่อาจไม่ได้เพิ่มขึ้นในอัตราที่เท่ากัน สะท้อนภาพอะไรหลายอย่าง ซึ่งคงกลายเป็นประเด็นปัญหาทางสังคมที่ผู้บริหารระดับสูงของจีนจะต้องปวดหัวหาทางแก้ไข แต่ที่แน่ๆ ตรุษจีนปีที่จะถึงนี้ หนุ่มสาววัยทำงานของจีนจำนวนมาก จะไม่ได้กลับบ้านไปฉลองปีใหม่กับพ่อแม่ หลายครอบครัวคงต้องเหงาใจอ่านจดหมายแก้ตัว(โกหก)ของลูก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น