รองศาสตราจารย์
พรชัย ตระกูลวรานนท์
สาขามานุษยวิทยา
คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ผมจำได้ว่าเมื่อปีที่แล้วได้เคยนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับแผนพัฒนาฯฉบับที่12ของจีนในคอลัมน์นี่ไปแล้วครั้งหนึ่ง
และได้เคยชี้ประเด็นว่าจีนกำลังเร่งพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ครั้งใหญ่
เพื่อเตรียมการสำหรับการยกระดับโครงสร้างการผลิตภาคอุตสาหกรรมและการบริการ
สัปดาห์นี้ได้ไปอ่านพบผลการศึกษาเกี่ยวกับการขยายตัวของอุดมศึกษาจีนจากหนังสือพิมพ์
เดอะนิวยอร์ค์ไทม์ ฉบับออนไลน์ เห็นว่าน่าสนใจ ก็เลยไปค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม
เพื่อนำมาเป็นหัวข้อชวนคุยประจำสัปดาห์นี้
อย่างที่ได้เคยนำเสนอไปแล้วว่า
ประเทศจีนปัจจุบัน กำลังเผชิญกับการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจขนานใหญ่
เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมและภาคการบริการตามแผนพัฒนาฯฉบับที่12 แม้ว่าที่ผ่านมาจีนจะประสบความสำเร็จขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมาก
จนก้าวขึ้นเป็นประเทศที่มีขนาดทางเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่สองของโลก
แต่เมื่อพิจารณาจากรายได้เฉลี่ยต่อหัวประชากรอย่างที่เป็นอยู่
จีนยังคงต้องลงแรงอีกมากในการพัฒนา
หรือต่อให้จีนสามารถขยายตัวต่อเนื่องจนมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลก
อย่างที่ได้มีการพยากรณ์กันไว้ แต่โอกาสที่จีนจะกระโดดข้ามจากการเป็นประเทศรายได้ระดับล่าง-กลาง
มาเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่ประชาชนมีรายได้สูง ยังดูเป็นเรื่องห่างไกลอยู่มาก
ทั้งนี้เพราะที่ผ่านมา
การพัฒนาและเติบโตของเศรษฐกิจจีนอาศัยการผลิตในภาคอุตสาหกรรมที่มีความได้เปรียบเรื่องต้นทุนสิ่งแวดล้อมต่ำค่าจ้างแรงงานราคาถูก ชดเชยกับต้นทุนวัตถุดิบและค่าพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น
ทำให้สินค้าจีนสามารถเปิดตลาดได้อย่างกว้าง
ภายใต้เงื่อนไขทางเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน ข้อได้เปรียบในอดีตของจีน
อาจกลับกลายมาเป็นจุดอ่อน เพราะตลาดที่เคยรองรับสินค้าเดิมๆจากจีน
ได้สูญเสียกำลังซื้อไปมาก โอกาสที่เศรษฐกิจจีนจะสามารถขยายตัวต่อเนื่อง
จึ่งอยู่ที่การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมและบริการ ไปสู่สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง
ประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หากเป็นไปตามแผนนี้
จีนต้องปรับโครงสร้างกองทัพแรงงานภายในประเทศครั้งใหญ่ จากแรงงานไร้ฝีมือ มาเป็นแรงงานที่ผ่านการศึกษาและทักษะฝีมือขั้นสูง
ตรงจุดนี้เองที่สถาบันอุดมศึกษาของจีนเข้ามามีบทบาทเกี่ยวข้องโดยตรง
ภายใต้แผนพัฒนาฯฉบับใหม่
จีนตั้งเป้าหมายว่าจะต้องมีแรงงานฝีมือที่จบการศึกษาในระดับปริญญาตรีขึ้นไปรวมไม่น้อยกว่า
195ล้านคนภายในปี ค.ศ.2020
ในการนี้รัฐบาลจีนได้ทุ่มเทเงินอัดฉีดพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ปีละ 250,000ล้านหยวน
ให้กับการศึกษาในทุกระดับ อย่างไรก็ดี
การพัฒนากำลังคนเพื่อเตรียมรับการปรับโครงสร้างการผลิตในภาคอุตสาหกรรมและบริการนี้
รัฐบาลกลางได้เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมและลงทุนจัดการศึกษาเพิ่มเติม
เป็นการลดภาระของภาครัฐไปส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับอุดมศึกษา
ปีเป้าหมาย195ล้านคนภายในค.ศ.2020 ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
ลำพังเพียงมหาวิทยาลัยจีนที่มีอยู่ในปัจจุบัน
ที่รับนักศึกษาได้ประมาณปีละ6.8ล้านคน คงต้องใช้เวลาอีกนานมากกว่าจะสำเร็จ
และก็คงไม่เพียงพอทันกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมจีน
โดยเฉพาะการผลิตบัณฑิตกลุ่มเป้าหมายในอุตสาหกรรมตามแผนฯเช่น พลังงานทดแทน
เครื่องยนต์ประหยัดพลังงาน การปรับสภาพสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีสารสนเทศ
เครื่องจักรกลระดับนาโน ยานยนต์ประหยัดพลังงานฯลฯ
อุตสาหกรรมแนวใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงเหล่านี้
ต้องการบัณฑิตที่ได้รับการศึกษาและฝึกอบรมเป็นการเฉพาะ
ศึกษาและทำงานฝึกอบรมควบคู่ไปกับอุตสาหกรรมจริง
การเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยจีนแบบเดิมๆ
ไม่สามารถตอบโจทย์และเร่งผลิตบัณฑิตกลุ่มนี้ได้
ในขณะเดียวกัน
การขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนก็ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงภายในประเทศ
ข้อเท็จจริงที่ว่าจีนได้ใช้เงินสะสมจำนวนมหาศาล เข้าซื้อกิจการในทวีปยุโรปและอเมริกาเหนือ
ขยายฐานการผลิตในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในต่างประเทศที่เจริญล้ำหน้ากว่าจีน
ทำให้อุตสาหกรรมและธุรกิจจีนเหล่านี้
ต้องการแรงงานมีฝีมือและนักบริหารจัดการที่มีคุณภาพสูงมีความรู้ทางภาษาฯลฯ
เพื่อส่งไปดูแลกิจการโพ้นทะเลของจีนอีกเป็นจำนวนมาก ทำให้ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมของจีนเองเกิดความจำเป็นที่ต้องพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของตนเอง
ในปัจจุบันเราจึงสามารถพบเห็นสถาบันอุดมศึกษาจำนวนมากทยอยเกิดขึ้นในประเทศจีน
ทั้งที่เป็นวิทยาลัยเฉพาะทาง และที่เป็นมหาวิทยาลัยเต็มรูปแบบ
ลงทุนและจัดการศึกษาโดยภาคเอกชน
เพื่อป้อนแรงงานมีฝีมือเข้าสู่อุตสาหกรรมในเครือของตน ตัวอย่างเช่น มหาวิทยาลัย Geely
University ที่จัดตั้งโดยกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ของจีนในปักกิ่งโดยกลุ่มบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของจีน
มีนักศึกษาร่วมทุกชั้นปี กว่า20,000คน เน้นสาขาวิชาวิศวกรรมยานยนต์เป็นหลัก
นอกจากนั้นก็ยังมีมหาวิทยาลัยที่เน้นทางด้านการจัดการ ธุรกิจโรงแรม
วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ฯลฯ ที่ลงทุนและบริหารโดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง
ไม่เพียงเฉพาะบริษัทและอุตสาหกรรมของจีนเท่านั้นที่ต้องการบัณฑิตคุณภาพสูงตรงสายงานอาชีพ
บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ที่เข้าไปลงทุนในจีนหรือทำธุรกิจร่วมกับจีน
ต่างก็มีความต้องการแรงงานขั้นสูงในระดับปริญญาจากมหาวิทยาลัยของจีนเช่นกัน
ตอนนี้เลยดูเหมือนจะกลายเป็นยุคทองของการอุดมศึกษาจีน
ในทำนองเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นแล้วในสหรัฐอเมริกาสมัยทศวรรษที่1950
หลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติลงใหม่ๆ
สหรัฐฯตัดสินใจทุ่มเทงบประมาณจัดการศึกษาเปิดมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ
เปลี่ยนนักรบทหารผ่านศึกมาเป็นบัณฑิตปริญญาตรีป้อนตลาดแรงงานให้กับภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตในเวลานั้น
กรณีของจีนจะเป็นอย่างไร สำเร็จหรือไม่แค่ไหน ต้องติดตามดูครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น