รองศาสตราจารย์ พรชัย ตระกูลวรานนท์
สาขามานุษยวิทยา
คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เปิดรับคอลัมน์สัปดาห์นี้
ขออนุญาตกล่าวทักทายอวยพรท่านผู้อ่านที่รักทุกท่านในแบบฉบับท่านนายกฯยิ่งลักษณ์
“ซินเหนียนไคว่เล้อ” สวัสดีมีสุขวันปีใหม่จีนครับ
อย่างที่เคยเกริ่นไว้แล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน ว่าคอลัมน์นี้เล่าเรื่องตรุษจีนและปรากฏการณ์เกี่ยวเนื่องกับเทศกาลตรุษจีนมาหลายรอบหลายปีแล้ว
จะขอเว้นสักปีนะครับ ขอเล่าเรื่องราวที่ผมเห็นว่าน่าตื่นเต้นมากกว่าแทน เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
มีข่าวเล็กๆชิ้นหนึ่งซึ่งจัดว่าเป็นเรื่องสำคัญในพัฒนาการความขัดแย้งทางทะเลระหว่างจีนและญี่ปุ่น
ทว่าถูกกลบไปด้วยข่าวเทศกาลตรุษจีน จนแทบไม่มีใครสนใจติดตาม ข่าวที่ว่านี้คือเหตุการณ์เผชิญหน้าอย่างใกล้ชิดของกองทัพเรือจีนและญี่ปุ่น
นับเป็นเหตุการณ์น่าหวาดเสียวที่สุดตั้งแต่เริ่มกรณีพิพาททางทะเลรอบใหม่เกี่ยวกับหมู่เกาะ
เตี่ยวหยู หรือเซ็นกากุ แล้วแต่ฝ่ายใดจะเรียก
บ่ายวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา
โฆษกรัฐบาลญี่ปุ่นได้แถลงว่า ช่วงปลายเดือนมกราคม
ในขณะที่เรือพิฆาตของญี่ปุ่นลาดตระเวนอยู่ในน่านน้ำของญี่ปุ่น ประมาณ 100 กิโลเมตร
จากหมู่เกาะเจ้าปัญหา ระบบป้องกันภัยของเรือได้ตรวจพบว่าเรือของตนได้ถูกเรือรบฝ่ายจีนที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย
ใช้เรดาห์กำหนดตำแหน่งและตั้งพิกัดการยิงด้วยขีปนาวุธ เรียกว่าเกือบจะเข้าสู่โหมดสงครามกลางทะเล
ต่อมาในวันที่6กุมภาพันธ์ ท่านนายกรัฐมนตรี ชินโซะ อาเบะ ก็แถลงยืนยันในรัฐสภาฯ
ว่ามีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริง ข่าวดังกล่าวเป็นประเด็นใหญ่โตมากในแวดวงการทูตทั่วโลก
ทางการญี่ปุ่นยังได้ให้ข้อมูลแก่นักการทูตตะวันตกในโตเกียว ว่านี้ไม่ใช่ครั้งแรก
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่19 มกราคม
จีนก็เคยใช้เรดาห์จับพิกัดเตรียมยิงเฮลิคอปเตอร์ของญี่ปุ่นที่ลาดตะเวนทางทะเลมาแล้วครั้งหนึ่ง
ดีที่ว่าเหตุการณ์ล่าสุดในคราวนี้ รัฐบาลทั้งจีนและญี่ปุ่น
ไม่ได้ออกมาตอบโต้ทำสงครามน้ำลายกัน
คงจะด้วยเหตุผลไม่อยากให้เรื่องราวลุกลามใหญ่โต หรืออาจเพราะต่างฝ่ายต่างก็ยังอยู่ในระหว่างสืบสวนเรื่องราวสาเหตุความเป็นมาที่ยังไม่ชัดเจนนัก
ว่าตกลงใครยั่วยุใครก่อน ถึงได้เกิดเรื่องเลยเถิดจนขั้นตั้งเป้าเตรียมยิงกันขึ้น
(รัฐมนตรีและสส.ฝ่ายญี่ปุ่นหลายท่าน ให้ข้อสังเกตว่า
เหตุการณ์ดังกล่าวอาจเป็นการตัดสินใจโดยพลการของผู้บังคับการเรือฝ่ายจีน
มากกว่าที่จะเป็นคำสั่งตรงจากเบื้องบน)
อุบัติการณ์ดังกล่าว
ทำให้วงการทูตทั่วโลกวิพากษ์วิจารณ์กันมาก และทำให้ตั้งข้อสังเกตต่อโยงไปถึงสัญญาณจากปักกิ่ง
โดยเฉพาะบทบาทของบรรดาผู้นำจีนรุ่นใหม่ที่กำลังจะเข้ารับตำแหน่งบริหารจริงในเวลาอีกไม่ถึงเดือนดี
ท่าที่ของรัฐบาลใหม่ต่อประเด็นพิพาททางทะเลกับญี่ปุ่นและประเทศอื่นๆในทะเลจีนใต้ จะพัฒนาไปในทิศทางใดในเมื่อรัฐบาลจีนเองได้โหมกระพือกระแสชาตินิยมไปก่อนหน้าเรียบร้อยแล้ว
หน่วยงานศึกษาด้านความมั่นคงของออสเตรเลีย (Lowy Institute) เชื่อว่า
ผู้นำใหม่ของจีน นาย สี จิ้นผิง รู้เรื่องและเกี่ยวของกับอุบัติการณ์ดังกล่าวไม่มากก็น้อย
เพราะได้รับคำแนะนำจากฝ่ายความมั่นคงแห่งรัฐว่า จีนควรต้องแสดงท่าทีที่แข็งกร้าวไว้
ในขณะที่ฝ่ายความมั่นคงของญี่ปุ่นก็มองไกลไปขนาดว่ารัฐบาลจีนอาจต้องการหยั่งท่าทีสหรัฐฯในฐานะพันธมิตรสำคัญของญี่ปุ่น
ว่าจะมีปฏิกิริยาเช่นไร ในอีกด้านหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงตัวรัฐมนตรีหลายตำแหน่งที่เกี่ยวข้อง
ในรัฐบาลสมัยที่สองของประธานาธิบดีโอบามาแห่งสหรัฐอเมริกา
ก็เป็นประเด็นที่ทั้งจีนและวงการทูตจับตามอง ว่าจะช่วยคลี่คลาย หรือซ้ำเติมให้สถานการณ์ตึงเครียดมากขึ้น
อย่างไรก็ดี
ในมุมมองอีกด้านหนึ่ง ก็มีนักวิชาการตะวันตกจำนวนมากเชื่อว่าสถานการณ์เผชิญหน้าครั้งใหม่นี้
ยังไม่มีความรุนแรงพอที่จะทำให้จีนและญี่ปุ่นเข้าสู่ภาวะสงคราม
ผมขอประมวลเอาเหตุผลหลักๆจากเว็บไซต์ของนิตยสาร The Diplomat(ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการระหว่างประเทศในภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิก
โดยเฉพาะ) มาเล่าต่ออีกทีดังนี้ ประการแรก
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าจีนพร้อมจะทำสงครามกับญี่ปุ่นด้วยปัจจัยชาตินิยมล้วนๆ
เพราะโอกาสที่กระแสชาตินิยมจะย้อนกลับมาเป็นปัญหากับพรรคคอมมิวนีสต์เองดูจะมีมากกว่า
เว้นแต่ว่าข้อพิพาทเรื่องเขตแดนนี้จะพัฒนาส่งผลกระทบบ่อนทำลายเศรษฐกิจจีนอย่างชัดเจน
ประการที่สอง การพึ่งพาระหว่างกันทางเศรษฐกิจของจีน-ญี่ปุ่นในปัจจุบัน
อยู่ในจุดสูงสุดตลอดช่วงประวัติศาสตร์
จนยากที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะยอมปล่อยให้เกิดสงครามขึ้นได้ ประการที่สาม
จีนเองยังไม่มีความมั่นใจในศักยภาพทางการทหารเพียงพอที่จะปฎิเสธความเป็นไปได้ของความพ่ายแพ้
เฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีสนธิสัญญาร่วมปกป้องระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาเข้ามาเกี่ยวข้อง
ลำพังเพียงกองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่นอาจไม่ใช่ปัญหา
แต่เมื่อคำนึงถึงแสนยานุภาพของกองกำลังทางทะเลที่สหรัฐฯมีอยู่
โอกาสที่จีนจะตัดสินใจเข้าสู่สงคราม จึงแทบเป็นไปไม่ได้ ประการที่สี่
จีนยังอยู่ในระหว่างปรับสมดุลขั้วอำนาจภายใน
ภายหลังการขึ้นสู่อำนาจของผู้นำรุ่นที่5 ใช่ว่าทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างเรียบร้อย
ยังมีความจำเป็นในการต่อรองและปรับตัวครั้งใหญ่รออยู่ ประการที่ห้า
ในทางยุทธศาสตร์ ผู้นำทางการทหารของจีนยังมีข้อมูลไม่เพียงพอเกี่ยวกับระดับการแทรกแซงที่อาจจะเกิดขึ้นกับปัญหาความสงบภายในประเทศในยามที่เกิดสงครามกับเพื่อนบ้าน
ปัญหาทางการเมืองภายในไม่ว่าจะเป็นธิเบตหรือซินเจียง
ขอเพียงมีการสนับสนุนหรือแทรกแซงจากมหาอำนาจภายนอกเพียงเล็กน้อย
อาจกลายเป็นความวุ่นวายทางการเมืองขนานใหญ่ จนเข้าข่าย “ชนะสงครามภายนอก
แต่ไม่อาจยุติสงครามภายใน” ประการที่หก
เสียงประณามและพันธมิตรภายนอก ตลอดช่วงกว่า30ปีที่ผ่านมา
จีนได้รับความนิยมและยอมรับจากประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย
เพราะอ้างนโยบายการไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น และยืนยันไม่ใช้กำลังทหารนอกดินแดนจีน
การทำสงครามกับเพื่อนบ้านอย่างญี่ปุ่น เท่ากับเป็นการสร้างความหวาดระแวงไปทั่ว
และจะทำให้จีนสูญเสียพันธมิตรที่อุตสาห์สร้างสมมาไปเสียเกือบทั้งหมด
เรื่องราวชวนคุยในสัปดาห์นี้
อาจดูหนัก และไม่เข้ากับเทศกาลตรุษจีนเท่าไรนัก ผมต้องขออภัยด้วย
แต่ที่นำมาเล่านี้ก็เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่มากเรื่องหนึ่ง
เฉพาะอย่างยิ่งใครที่คิดว่าสนใจเรื่องจีน ไม่รู้ไม่ได้ครับ
ส่วนว่าท้ายที่สุดเรื่องนี้จะลงเอยอย่างไร ก็ต้องรอดูไป ห้ามฟันธงเด็ดขาด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น