โดย รศ.พรชัย ตระกูลวรานนท์
สาขามานุษยวิทยา
คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จัดว่ามีข่าวสารน่าติดตามเกี่ยวกับประเทศจีนมากเป็นพิเศษ เฉพาะที่เป็นข่าวดังข่าวใหญ่อยู่ในความสนใจของนานาชาติ จะว่าไปก็นับเป็นสิบข่าวตัวอย่าง เช่นเหตุการณ์ชุมนุมครบรอบ 22 ปี กรณีจัตุรัสเทียนอันเหมิน ข่าววัยรุ่นจีนขายไตเพื่อซื้อไอพอด ข่าวเหมืองถล่มทางใต้ของประเทศ ข่าวเทศกาลเดือน 5 หรือ ขนมบะจ่าง ข่าวจีนให้ความช่วยเหลือลาวจัดงานประชุมอาเซียน ฯลฯ ผมเลยออกอาการลังเล ไม่ทราบว่าจะนำเรื่องไหนมาเปิดประเด็นนำเสนอท่านผู้อ่านที่รัก ประกอบกับเรื่องดัง ๆ ทั้งหลายก็เห็นหน้าข่าวต่างประเทศในสื่ออื่น ๆ ของประเทศไทย ได้นำเสนอไปแล้ว เลยหมดอารมณ์จะมาขยายความเพิ่มเติมซ้ำกับคอลัมน์ที่เป็นข่าวสด สัปดาห์นี้ผมก็เลยต้องใช้เวลาในการค้นข่าวจากประเทศจีนมากเป็นพิเศษ ซึ่งก็คุ้มค่าครับ เพราะได้เห็นข่าวสารมากมายหลายมุมมองมากกว่าในสัปดาห์ก่อน ๆ
เรื่องที่จะชวนท่านผู้อ่านคุยในสัปดาห์ เป็นข่าวปรากฏอยู่บนหน้าปกนิตยสารปักกิ่งรีวิวฉบับล่าสุด ที่จริงก็ขึ้นปกอยู่หลายเรื่อง แต่ที่สดุดตาและทำให้สนใจมากเป็นพิเศษ คือเรื่องอุตสาหกรรมยาแผนโบราณของจีน ที่ออกไปกวาดเงินกวาดทองทำรายได้อยู่ในต่างประเทศ มาเป็นเวลายาวนาน เรียกว่าที่ใดมีชาวจีนเดินทางไปตั้งรกราก ก็จะปรากฏมีร้านขายยาจีนตามไปเปิดให้บริการ หนักเข้าก็ให้บริการลูกค้าชาวต่างชาติเจ้าของถิ่นในประเทศนั้น ๆ ไปด้วย กลายมาเป็นตลาดสำคัญที่ช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมยาสมุนไพรสำเร็จรูปของประเทศจีนอีกทางหนึ่ง นอกเหนือไปจากที่ผลิตให้ชาวจีนในประเทศซื้อหามากินรักษาโรคกันเป็นหลักอยู่แล้ว
ที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ ตลาดยาสมุนไพรสำเร็จรูปของจีนที่ทำตลาดอยู่ในต่างประเทศนั้น ลูกค้ากลุ่มหลักอยู่ที่ชาวจีนโพ้นทะเลและชุมชนจีนที่ไปตั้งรกรากเติบโตอยู่ในต่างประเทศ เรื่องของมาตรฐานสรรพคุณและวิธีการใช้ยา จึงเป็นเหมือนรู้ ๆ กันอยู่ในหมู่ชาวจีนว่าจะเลือกใช้ หรือ ซื้อหายาอะไรบ้างตามคำแนะนำของแพทย์แผนจีน ที่พอมีกระจายอยู่ในชุมชนจีนประเทศต่าง ๆ มาในระยะหลัง ความนิยมในการแพทย์แผนจีนและยาสมุนไพรของจีน เกิดได้รับความสนใจและกลายเป็นการแพทย์ทางเลือกที่แพร่หลายของคนต่างชาติ ทั้งฝรั่งและชาวเอเชียในภูมิภาคต่าง ๆ มาตรฐานและสรรพคุณของยาตลอดจนการกำกับดูแลแพทย์แผนจีนที่เป็นผู้แนะนำสั่งยา เลยกลายมาเป็นประเด็นที่ได้รับความเอาใจใส่ ตรวจตราโดยเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ เช่น บรรดาหน่วยงาน อย.ของประเทศต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น ข่าวที่ผมกำลังจะนำเสนอ ก็เป็นรายงานข่าวปัญหาอุปสรรคที่อุตสาหกรรมยาจีนกำลังเผชิญอยู่ในตลาดอินเตอร์ ที่หนักสุดตอนนี้ ก็คือ ปัญหาที่บรรดาผู้ผลิตยาจีนกำลังเจอจากการประกาศห้ามนำเข้ายาจีนโดยกลุ่มประเทศในสหภาพยุโรป หลังจากดิ้นรนหาทางปรับปรุงคุณภาพเพื่อให้ได้มาตรฐานของ EU มาแล้วเป็นเวลาเกือบ 8 ปี นับตั้งแต่กลุ่ม EU เริ่มประกาศเกณฑ์มาตรฐานการรับใบอนุญาตนำเข้าและจำหน่ายยาสมุนไพร มาบัดนี้ห้วงระยะเวลาผ่อนปรนก็เป็นอันหมดแล้ว ยังไม่ปรากฏมีผู้ผลิตยาจากจีนรายใดได้รับใบอนุญาตที่ถูกต้องครบถ้วนตามมาตรฐานเลย ปัจจัยหลักเลยคือเรื่องต้นทุนการผลิต เพราะหากจะให้ได้มาตรฐานแบบฝรั่งจริง ๆ ต้นทุนในการผลิตยาสมุนไพรเหล่านี้ จะต้องสูงขึ้นอีกเป็นหลายเท่าตัว จนทำให้ราคาขายสูงเกินกว่าจะเป็นทางเลือกให้ผู้สนใจทดลองซื้อหาไปใช้ พูดง่าย ๆ คือ หากทำให้ได้ตามมาตรฐานฝรั่งก็เป็นอันไม่ต้องขายกันพอดี เพราะราคาจะสูงกว่ายาแผนปัจจุบันหลายเท่า
นอกเหนือจากต้นทุนในการผลิตที่จะเพิ่มขึ้นแล้ว ยังมีปัจจัยเรื่องค่าใช้จ่ายในการขึ้นทะเบียนตำรับยาที่แต่ละประเทศใน EU เรียกเก็บ ว่ากันว่าแพงหนักหนา หากผู้นำเข้าหนึ่งรายต้องการนำเข้าผลิตภัณฑ์สักสิบรายการ ก็ต้องจ่ายค่าขึ้นทะเบียนตำรับยาสิบตำรับ ตำรับละประมาณ 153,000 เหรียญสหรัฐ หรือหนึ่งล้านหยวนจีน นอกเหนือจากนี้ ระเบียบของ EU ยังกำหนดให้เป็นหน้าที่ของผู้นำเข้า ในการแสดงหลักฐานการทดสอบยาในทางสรรพคุณรักษาต่อเนื่องเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 15 ปี เพื่อยืนยันว่าไม่มีภาวะอาการของผลข้างเคียงในหมู่ผู้ใช้ยาชาวยุโรป อันนี้ก็เป็นปัญหาใหญ่ เพราะก็ไม่มีบริษัทผู้ผลิตยารายใดของจีน จะมีทุนรอนและเวลามากมายขนาดนั้นในการทดลองกับคนไข้ฝรั่ง แม้ในประเทศจีนเอง ผู้ผลิตทั้งรายใหญ่และรายเล็ก ก็ไม่เคยมีธรรมเนียมปฏิบัติในการเก็บข้อมูลสถิติย้อนหลังมากมายขนาดนั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นการผลิตยาตามตำรับที่พัฒนาสืบทอดกันมาตามตำรายาแต่โบราณด้วยกันทั้งสิ้น แม้แต่ผู้ผลิตรายใหญ่และมีชื่อเสียงมากที่สุดอย่างโรงงานผลิตยาสมุนไพร “ถงเหรินถัง” (มาเปิดสาขาในบ้านเราแถวถนนเจริญกรุง) ก็ยังไม่สามารถแสดงหลักฐานดังกล่าวเพื่อขึ้นทะเบียนตำรับยาในยุโรปได้
อย่างไรก็ดี ปัญหาอุปสรรคดังกล่าวก็ไม่ถึงกับ จะกระทบต่ออุตสาหกรรมยาของจีนเท่าใดนัด เพราะหากดูจากตัวเลขของปีที่ผ่านมา จีนส่งออกยาสมุนไพร รวมมูลค่า 1,940 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยตลาดยุโรปมี สัดส่วนส่งออกเพียงร้อยละ14 เท่านั้น ตอนนี้จีนเลยเร่งไปทำตลาดในภูมิภาคอื่น ๆ เพื่อชดเชยสัดส่วนดังกล่าว ซึ่งก็ดูประสบความสำเร็จดี
ผมเอาเรื่องตลาดสมุนไพรจีนมาชวนคุยวันนี้ เพราะกำลังคิดถึงหนทางในอนาคตของตลาดสมุนไพรไทย ยาหลายตัวที่เราภูมิอกภูมิใจว่ามีสรรพคุณดีอย่างนั้นอย่างนี้ สมควรที่จะส่งเสริมให้เป็นสินค้าส่งออกได้ หากไปเทียบกับประวัติศาสตร์ของยาจีนที่แพร่หลายอยู่นอกประเทศจีนแล้ว ดูท่ายังต้องลงแรงอีกมาก ทางที่ดีอาจต้องกำหนดยุทธศาสตร์ใหม่ ให้สามารถแข่งขันต่อสู้เพื่อทดแทนการใช้ยาฝรั่งราคาแพง ภายในประเทศของเรา ก่อนที่จะออกไปคิดอ่านทำการตลาดนอกประเทศ น่าจะเหมาะสมกว่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น