โดย รศ. พรชัย ตระกูลวรานนท์
สาขามานุษยวิทยา
คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ทุกๆ ปีในช่วงเทศกาลตรุษจีน เรามักได้รับข่าวสารเกี่ยวกับการเดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อฉลองเทศกาลวันหยุดยาว ที่สร้างความโกลาหลไปทั่วทั้งประเทศจีน ถูกนำมาเผยแพร่เป็นภาพข่าวในสื่อนานาชาติทั่วไปอยู่เป็นประจำ ในเวลาเดียวกันข่าวเกี่ยวกับการเดินทางไปท่องเที่ยวของชาวจีนในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ก็จัดว่าคึกคักมากเป็นพิเศษ เรียกว่าเป็นช่วงที่เศรษฐกิจการค้าขายทั้งกินทั้งเที่ยวภายในประเทศของจีนคึกสุดๆเลยก็ว่าได้ มาในระยะหลังจำนวนชาวจีนที่เดินทางออกท่องเที่ยวในต่างประเทศ ก็จัดเป็นข่าวที่ทั่วโลกให้ความสนใจติดตามกันเพิ่มมากขึ้น เพราะไม่ใช่เพียงปริมาณนักท่องเที่ยวชาวจีนจะเพิ่มมากขึ้นกระจายไปทั่วทุกภูมิภาคของโลกเท่านั้น คุณภาพและความใจถึงใจกล้าใช้จ่ายเงินทองของนักท่องเที่ยวจีน ก็กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ มาแรงไม่แพ้ชาติอื่นๆ ที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจก้าวหน้าร่ำรวยมาก่อน ในประเทศไทยเราเอง ท่านผู้อ่านที่รักก็คงพอได้สังเกตเห็นอยู่บ้าง ว่านักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาในประเทศเราระยะหลังๆนี้ เริ่มแตกต่างไปจากที่เราเคยเห็นในช่วงแรกๆ กล่าวคือนักท่องเที่ยวจีนเวลานี้ ไม่ใช่จะมาอยู่มากินกันอย่างถูกๆ แบบทัวร์ศูนย์เหรียญ (เสียทั้งหมด) กันแล้ว จำนวนและสัดส่วนนักท่องเที่ยวคุณภาพที่กระเป๋าหนัก พร้อมที่จะจ่ายแพงๆ เพื่อสินค้าและบริการที่มีคุณภาพสูง มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จากข้อมูลสถิติที่เก็บสำรวจโดย McKinsey & Company ในช่วงปีที่ผ่านมา เฉพาะในเขตเมืองของจีน ตอนนี้มีครัวเรือนที่จัดว่าเป็นกลุ่มรายได้สูง มีเงินไหลเข้าบ้านเกินกว่า 250,000 หยวนต่อปี มากถึง 1.6 ล้านครัวเรือน (ร้อยละ 30 ของครัวเรือนกลุ่มนี้ กระจุกกันอยู่ใน 4 เมืองใหญ่ คือ ปักกิ่ง เซี้ยงไฮ้ กวางโจว และเสิ่นเจิ้น) จากตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจในเขตเมืองที่ผ่านมาตลอด 15 ปีหลัง ทำให้เชื่อว่าภายในเวลาไม่เกิน 5 ปี ตัวเลขจำนวนครัวเรือนที่จัดว่าเป็นคนรวยของจีน น่าจะทะยอยเพิ่มขึ้นอีกปีละไม่ต่ำกว่า 2.5 แสนครัวเรือน ทั้งหมดนี้เป็นการรวบรวมข้อมูลในเชิงตัวเลขเท่าที่มีปรากฏหมุนเวียนเป็นรายรับอย่างเป็นทางการ ยังไม่มีใครรู้ว่าตัวเลขครัวเรือนร่ำรวยจริงๆที่แอบรวยกันอยู่ทั่วทั้งประเทศจีนนั้น มีเท่าไรกันแน่ นักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์บางพวกประมาณกันว่า มีชาวจีนที่มีเงินเกิน1ล้านหยวนไม่ต่ำกว่า 3 ล้านราย มีเศรษฐี 10 ล้านหยวนไม่น้อยกว่า 915,000 ราย และมีเศรษฐี 100 ล้านหยวนไม่น้อยกว่า 65,000 ราย กระจายอยู่ในประเทศจีนในรอบปีที่ผ่านมา
เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้เห็นภาพชัดๆ ว่าเศรษฐีใหม่กระเป๋าหนักชาวจีนเขาใช้เงินท่องเที่ยวกันอย่างไร ผมขออนุญาติฉายหนังเก่ามาเป็นตัวอย่างให้ดูดังนี้ครับ เมื่อเมษายนปีที่แล้ว มีบริษัททัวร์ในฮ่องกงและไต้หวันร่วมมือกันจัด “ทัวร์รอบโลกครั้งเดียวในชีวิต” โปรแกรมทัวร์ 6 ทวีป 60 วัน ราคา 500,000 หยวนขาดตัวไม่มีต่อรอง ปรากฏว่าเพียงแค่ 9 นาทีที่เปิดจองในจีน จำนวนที่นั่งที่เสนอขายชาวจีนก็หมดเกลี้ยงทันที ก่อนหน้านั้นในเดือนมีนาคม ก็มีโปรแกรมทัวร์ที่ฮือฮาเป็นข่าวใหญ่ คือทัวร์ล่าสัตว์แบบจีนโบราณในเทือกเขาฉางไป่ซาน มณฑลจี่หลิน คิดค่าทัวร์ 150,000 หยวน ก็ปรากฏว่าขายเกลี้ยงในวันเดียว นอกจากนี้ก็ยังมีตัวอย่างแพกเกจทัวร์หรูๆอีกมากที่เป็นข่าวใหญ่ให้ได้เม้าท์กันเป็นระยะๆอีกนับสิบรายการ
หากจะสรุปว่าชาวจีนมีความเป็นคนชอบเที่ยวอยู่ในสายเลือดก็คงไม่ผิดนัก เพราะนับแต่ประวัติศาสตร์มาแล้ว วัฒนธรรมเดินทางท่องเที่ยวชมความงามของธรรมชาติ ดูจะเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชวิตปรกติของชนชาติจีน ทุกวันนี้เวลาที่เราเดินทางไปเที่ยวในประเทศจีน ก็จะพบความจริงว่า แม้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจะนิยมเดินทางไปเที่ยวเมืองจีนเพิ่มมากขึ้น แต่นักท่องเที่ยวที่เราเห็นในสถานที่ท่องเที่ยวทุกแห่ง ยังคงเป็นชาวจีนเที่ยวกันเองเสียเป็นส่วนมาก หรือหากดูตัวเลขสถิติจำนวนนักท่องเที่ยวเข้า-ออกประเทศจีนของปีที่แล้ว ก็จะพบว่าแม้มีต่างชาติเข้ามาเที่ยวประเทศจีนมากถึง 132 ล้านคน แต่ใช้จ่ายเงินรวมแล้วเพียง 46,000 ล้านเหรียญสหรัฐในประเทศจีน ในขณะที่นักท่องเที่ยวจีน 54 ล้านคนออกเดินทางจากจีนไปเที่ยวต่างประเทศ ใช้จ่ายเงินนอกบ้านไปกว่า 48,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เรียกว่ายังขาดดุลการท่องเที่ยวอยู่หากดูจากตัวเงินค่าใช้จ่าย สัดส่วนหลักของชาวต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวประเทศจีน มักเป็นกลุ่มวัยกลางคนถึงวัยเกษียร เป็นพวกที่ยับยั้งชั่งใจใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น ในขณะที่คนจีนส่วนใหญ่ที่ออกไปเที่ยวต่างประเทศเป็นคนหนุ่มสาว หิวกระหายประสบการณ์อย่างลองอยากซื้อ มือเติบกว่ามาก
การขยายตัวของนักท่องเที่ยวจีนรุ่นใหม่กระเป๋าหนัก ที่เดินทางออกไปต่างประเทศ เป็นอุบัติการณ์ใหม่ที่เพิ่งจะเริ่มยังจะขยายตัวได้อีกมาก หากดูจากระดับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนอย่างที่เป็นอยู่และที่พยากรณ์ไว้สำหรับปีใหม่นี้ ค่อนข้างแน่นอนว่าปี 2011 จะมีนักท่องเที่ยวจีนตลาดบนในกลุ่มกระเป๋าหนักเดินทางไปต่างประเทศเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ20 ในจำนวนนี้ จะมีพลัดเข้ามาถึงประเทศไทยเรามากหรือน้อยอย่างไรผมก็ไม่แน่ใจนัก เพราะหากวิจารณ์กันอย่างไม่เกรงใจตรงไปตรงมา ประเทศไทยเราวันนี้ อาจไม่ใช่จุดหมายเดินทางท่องเที่ยวยอดฮิตติดอันดับในใจของชาวจีนอย่างที่เคยเป็นมาในอดีตกว่า 20 ปีติดต่อกันอีกแล้ว ในสายตาของคนจีนทั่วๆ ไป (ผมไปคุยไปฟังมาเองกับตัว) ดูเหมือนเราในฐานะแหล่งท่องเที่ยวหนึ่งในหลายพันตัวเลือกทั่วโลก (ที่คนจีนยุคใหม่มีปัญญาจ่ายเงินไปเที่ยว) ยังคงเสนอขายอะไรแบบเดิมๆ เน้นจุดแข็งที่อากาศดี ยิ้มเก่ง อาหารทะเลรสดีราคาถูก อยู่ไม่ไกลเกินไปฯลฯ ในขณะที่เห็นๆอยู่ว่าคุณภาพและกำลังซื้อของนักท่องเที่ยวจีนกำลังเปลี่ยนไป ผมไม่กล้าเสนอแนะอะไรหรอกครับ ใครมีหน้าที่คิดอ่านวางแผน ก็ต้องเร่งคิดอ่านปรับปรุงกันโดยเร่งด่วนครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น