โดย รศ. พรชัย ตระกูลวรานนท์
สาขามานุษยวิทยา
คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
หากจะบอกว่าการนัดรวมพลแดงทั้งแผ่นดินที่เกิดขึ้นในประเทศไทยช่วงปีนี้เป็นข่าวใหญ่ข่าวดังในจีนก็คงไม่ใช่เสียที่เดียว แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามีผู้เฝ้าติดตามหรือจับจ้องวิเคราะห์อยู่ไม่น้อย ในประเทศจีนการเคลื่อนไหวของมวลชนคนเสื้อแดงเป็นที่รับรู้กันพอสมควรภายใต้ชื่อเรียกที่แปลตามตัวอักษร “หง ซา จวิน” หรือกองทัพเสื้อแดง ในห้วงเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา หากวิเคราะห์จากสื่อแขนงต่างๆ ที่เผยแพร่ปรากฏอยู่ในประเทศจีน อาจแยกได้เป็นประเด็นความสนใจหรือการวิเคราะห์สถานการณ์เป็น 3 กลุ่มหลักๆ ด้วยกัน
กลุ่มแรก เป็นการนำเสนอข่าวสารกระแสหลักตามแบบที่กองบรรณาธิการข่าวต่างประเทศของสำนักข่าวจีนทำกันเป็นปรกติ น้ำหนักข่าวที่ให้กับการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงก็ดำเนินไปตามระดับความเข้มข้นของกระแสข่าวอย่างที่ปรากฏรายวันเทียบเคียงกับข่าวสารอื่นๆ ที่มีมาจากประเทศทั้งหลายในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกด้วยกัน กล่าวได้ว่าในมุมมองของสำนักข่าวจีนทั้งหลาย การเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มเสื้อแดงที่มีมาเป็นลำดับนั้น อยู่ในความสนใจของสื่อจีน แต่ก็ไม่ได้มีน้ำหนักมากเท่าใดในเนื้อข่าวถึงขั้นที่ต้องลงทุนนำเสนอรายละเอียดแบบเกาะติด เท่าที่สำรวจดูมีเพียงสำนักข่าวหลักๆสามสำนักซึ่งมีสำนักงานและผู้สื่อข่าวประจำอยู่ในกรุงเทพฯ คือ ซินหัว CCTV และ CRI ที่เกาะติดรายงานข่าวโดยละเอียดเป็นพิเศษ ที่เหลือนอกจากนั้นก็อาศัยอ้างอิงจากสำนักข่าวซินหัวเป็นหลัก เนื้อความส่วนใหญ่เป็นการวิเคราะห์สถานการณ์และแนวโน้มโดยดูจากตัวเลขผู้เข้าร่วมการชุมนุม ซึ่งแหล่งข่าวของแต่ละสำนักข่าวก็ระบุตัวเลขไว้ต่างกัน (สำนักข่าว ซินหัว 50,000 CRI 120,000) ตัวเลขนี้นำไปสู่การวิเคราะห์ว่าเหตุการณ์น่าจะอยู่ในความสามารถที่รัฐบาลจะดูแลได้ ไม่น่ารุนแรงเท่ากับเดือนเมษายนที่ผ่านมา และไม่น่าจะมีการปิดสนามบินสุวรรณภูมิ เท่าที่สังเกตดู มีประเด็นน่าสนใจร่วมกันอย่างหนึ่งที่มีปรากฏในสื่อจีนที่เป็นสำนักข่าวมาตรฐาน กล่าวคือจีนระมัดระวังการเสนอข่าวในรายละเอียด และพยายามวางตัวเป็นกลางมากเป็นพิเศษ ทีผมพูดเช่นนี้ ก็เพราะเมื่อเทียบกับสื่อตะวันตกที่เสนอข่าวการชุมนุมของคนเสื้อแดงในช่วงเวลาเดียวกัน จะพบว่าสื่อตะวันตกเข้ามารู้ดีวิพากษ์วิจารณ์การเมืองของเราแบบล้วงลึกจนบางครั้งน่าเกลียด อีกทั้งยังวิพากษ์องค์กรสถาบันของเราแบบไม่เกรงใจ ซึ่งเรื่องแบบนี้จีนไม่ทำ
ส่วนกลุ่มที่สอง เป็นคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ออนไลน์วิเคราะห์ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ประเทศไทยจะต้องเผชิญ นอกจากนี้ยังมีเว็บไซต์ธุรกิจการเงินที่เกาะติดการลงทุนหลายแห่งของจีน ให้มุมมองว่าประเทศไทยจะเสียโอกาสดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเชื่อมโยงปัญหาทางการเมืองเข้ากับปัญหาข้อกฎหมายสิ่งแวดล้อม ที่ทำให้นักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นต้องยุติการลงทุนชั่วคราว ทั้งสองปัจจัยจะส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยโดยรวม นอกจากนี้ยังชี้ว่าการเคลื่อนไหวประท้วงเรียกร้อยให้ยุบสภาส่งผลให้ไทยสูญเสียรายได้จากการท่องเที่ยวไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันล้านบาท อันเป็นผลจากการที่รัฐบาล 33 ชาติออกประกาศเตือนประชาชนของตนไม่ให้เดินทางมาไทยในช่วงการชุมนุม หลายสำนักข่าวได้นำภาพแหล่งท่องเที่ยวหลักในกรุงเทพฯมาเผยแพร่ว่าเงียบเหงาอย่างไร นอกจากนั้นก็มีการวิเคราะห์ถึงพื้นฐานทางเศรษฐกิจไทยและแนวโน้มทางเศรษฐกิจ คอลัมนิสต์ส่วนใหญ่ของสื่อจีนยังมีความเชื่อมั่นและให้จับตาดูตลาดหุ้นและตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยเป็นสัญญาณหลักในระยะสั้น และแนะนำให้จับตาดูโครงการลงทุนก่อสร้างระบบการขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ เป็นปัจจัยระยะกลาง
กลุ่มสุดท้ายเป็นความเคลื่อนไหวสื่อสารในโลกไซเบอร์ของจีน ผมเองระหว่างที่สืบค้นข้อมูลเพื่อเขียนบทความประจำสัปดาห์นี้ เพิ่งจะได้รับรู้ความจริงว่า มีคนจีนธรรมดาๆสนใจมาเที่ยวประเทศไทยจำนวนไม่น้อยทีเดียว ในห้องแชทหรือห้องสนทนาทางอินเตอร์เน็ต มีหนุ่มสาวชาวจีนแวะเวียนเข้ามาบ่นเรื่องที่ถูกยกเลิกทัวร์มาเที่ยวประเทศไทยเยอะมาก บางคนก็ถามหาข้อมูลว่าถ้าจะมาภูเก็ตมาได้ไหม หรือถามว่ามีใครเคยอยู่ในวงล้อมการชุมนุมของไทยบ้างอันตรายจริงหรือเปล่า ถ้าอยากมาประเทศไทยแบบมากันเองไม่พึ่งบริษัททัวร์จะทำได้ไหมฯลฯ แล้วก็เลยแตกประเด็นกลายเป็นกระทู้ถามไถ่กันว่าไอ้ “หง ซา จวิน “ หรือคนเสื้อแดงนี้คืออะไร ก็มีผู้รู้บ้างไม่รู้บ้างเข้ามาให้คำอรรถาธิบายเป็นฉากๆ ไป ลามไปถึงวิเคราะห์การเมืองไทย วิจารณ์คุณทักษิณ วิจารณ์เสื้อเหลืองยึดสนามบิน วิจารณ์รัฐบาลไทย กลายเป็นเว็ปบอร์ดไทยศึกษาหรือไทยคดีไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ผมมีข้อสังเกตว่า หากพิจารณาจากระดับความรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับประเทศไทย ของสาธารณชนชาวเน็ตในจีน (ไม่นับรวมนักวิชาการจีนหรือนักธุรกิจจีน) ดูเหมือนความเข้าใจที่คนจีนรุ่นใหม่ในโลกไซเบอร์มีต่อประเทศไทยนั้น ยังค่อนข้างจำกัด และมีช่องว่างที่หน่วยงานของไทยเราต้องทำความเข้าใจอีกมาก เฉพาะเรื่องการท่องเที่ยวอย่างเดียว ผมเชื่อว่ายังมีงานต้องทำอีกเยอะในการให้ข้อมูลแก่หนุ่มสาวชาวจีนซึ่งจะกลายเป็นกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ในอนาคต หากไม่ใช่เป็นอยู่แล้วในเวลานี้ เสียเวลาจะมานั่งพูดเรื่องทัวร์ศูนย์เหรียญอันเป็นปัญหาของพวกลุงๆป้าๆรายได้น้อยที่ถูกหลอกมาเที่ยวเมืองไทย น่าจะให้ความสำคัญกับลูกค้าหนุ่มสาวชาวจีนรุ่นใหม่ให้มากขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น