โดย รศ. พรชัย ตระกูลวรานนท์
สาขามานุษยวิทยา
คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ข่าวใหญ่ครึกโครมที่ปรากฏทั้งในสื่อเทศและสื่อจีนในช่วงที่ผ่านมา คงปฏิเสธไม่ได้ว่าที่ดังที่สุดคือกรณีที่กรรมการรางวัลโนเบลที่กรุงออสโล ได้ตัดสินใจประกาศให้นาย หลิว เสี่ยวปอ ผู้ต้องโทษกักขังชาวจีน เป็นหนึ่งในผู้ได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพประจำปี 2010 ติดตามมาด้วยข่าวปฏิกิริยาของฝ่ายต่างๆ ทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ที่สำคัญและเป็นข่าวล่าสุดก็คือข่าวการประท้วงจากรัฐบาลจีน โดยโฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน นายหม่าจ้าวซู ได้แถลงประณามการตัดสินใจดังกล่าวของคณะกรรมการรางวัลฯว่าออกนอกขอบเขตเจตนารมณ์ของนาย อัลเฟร็ด โนเบลผู้ก่อตั้งรางวัลนี้ ผมเชื่อว่ารายละเอียดต่างๆของเนื้อข่าว ท่านผู้อ่านที่รักคงได้รับรู้รับทราบกันหมดแล้ว
อย่างไรก็ดีเรื่องราวความเป็นมาของนาย หลิว เสี่ยวปอก่อนที่จะได้รับรางวัลโนเบล ผมเข้าใจว่าคนไทยเราคงยังงงๆกันอยู่ ไม่รู้ว่าคุณคนนี้แกเป็นใคร ทำไมถึงได้รับรางวัลยกย่องในระดับโลกขนาดนี้ และทำไมรัฐบาลจีนจึงได้หงุดหงิดไม่พอใจจนถึงขั้นอาจกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับนอร์เวย์ (อัลเฟร็ด โนเบล เป็นคนสวีเดน แต่ระบุไว้ในพินัยกรรมให้จัดตั้งสถาบันโนเบลที่กรุงออสโลในนอร์เวย์ คนส่วนใหญ่ก็ยังงงๆกันอยู่ว่าแกคิดอะไรของแก) สัปดาห์นี้ผมก็เลยจะขออนุญาตสืบเสาะนำเสนอข้อมูลมาเล่าสู่ท่านผู้อ่านที่รักว่า ใครคือหลิว เสี่ยวปอ ไปไงมาไงกัน นายหลิว เสี่ยวปอ เป็นคนเมืองฉางชุน มณฑลจี่หลินโดยกำเนิด ชีวิตในวัยเด็กไม่สู้จะราบรื่นเท่าใดนัก เช่นเดียวกับชาวจีนส่วนใหญ่ที่เติบโตร่วมสมัยเดียวกับแกในยุคนั้น บิดาของคุณหลิว จัดเป็นปัญญาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างมากในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม ระหว่างปี 1967-1973หลิวต้องติดตามบิดาที่ถูกบังคับโดยนโยบาย “ออกไปเรียนรู้จากชนบท” จากบ้านเกิดที่ฉางชุนไปทำงานในชนบทของมองโกเลียใน ครั้นอายุได้19 หลิวก็ได้รับมอบหมายจากทางการให้ไปทำงานในหมู่บ้านห่างไกลของมณฑลจี่หลิน และต่อมาก็เข้าทำงานในหน่วยก่อสร้าง จนเมื่อประเทศจีนเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคปฏิรูปเปิดกว้างแล้ว หลิวจึงมีโอกาสเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัย ตามที่ครอบครัวเคยตั้งความหวังไว้ ปัจจุบันหลิวอายุ55ปี สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย จี่หลินในสาขาวรรณคดี ปริญญาโทและเอกจากมหาวิทยาลัยเป่ยจิงซือฟ้าน ในขณะเรียนปริญญาเอก หลิว เสี่ยวปอก็ได้บรรจุเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาภาษาและวรรณคดีในมหาวิทยาลัยแห่งเดียวกันนี้
ในระหว่างปี 1988-1989 หลิวได้รับทุนให้เดินทางไปเป็นนักวิชาการแลกเปลี่ยนที่อเมริกาและนอร์เวย์ ทว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตย หรือกรณี6/4ที่เทียนอันเหมิน หลิวตัดสินใจเดินทางกลับประเทศจีนและเข้าร่วมกับขบวนการนักศึกษาปัญญาชน แม้ว่าภายหลังเขาจะได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งใน “สี่บัณฑิตแห่งเทียนอันเหมิน” ที่เกลี่ยกล่อมให้นักศึกษาสลายการชุมนุมหลังเกิดเหตุนองเลือด ทำให้ผู้คนจำนวนมากไม่ต้องล้มตาย แต่สำหรับรัฐบาลจีนแล้ว หลิวถูกหมายหัวว่าเป็นผู้นำขบวนการ หลิวถูกจองจำ กักขังใช้แรงงานเพื่อให้การศึกษาใหม่ และกักตัวภายในที่พัก มาตลอดโดยลำดับ นับแต่สิ้นสุดเหตุการณ์ที่จตุรัตเทียนอันเหมิน
ในปี 2004 หลังจากอดีตนายกรัฐมนตรี จ้าว จื่อหยาง( ซึ่งถูกปลดจากตำแหน่งเพราะแสดงความเห็นใจขบวนการนักศึกษาในเหตุการณ์ที่เทียนอันเหมิน )ถึงแก่มรณกรรม ประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองผ่อนคลายลง หลิวกลับมามีเสรีภาพอีกครั้งหนึ่ง และเริ่มตีพิมพ์งานเขียนของตนออกสู่สาธารณะ โดยเฉพาะในประเด็นสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพในการแสดงออก “รายงานสถานะด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศจีน” หนึ่งในงานเขียนของเขา ได้ก่อให้เกิดเสียงตอบรับจากโลกภายนอก องค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนได้ยกย่องบทบาทของหลิว และมอบรางวัล “ผู้พิทักษ์เสรีภาพสื่อมวลชน” ให้กับหลิว ในอีกด้านหนึ่งผลจากงานเขียนเหล่านี้ ทำให้รัฐบาลจีนหันกลับมาเข้มงวดกับหลิวเพิ่มขึ้น สถานีตำรวจในพื้นที่ ถึงกับมาตั้งด่านและสถานีย่อยข้างบ้านของเขา สายโทรศัพท์ อินเตอร์เน็ต และแม้แต่แขกที่มาหา ถูกดักฟังติดตามและจับตาอย่างเข้มงวด นับเป็นสิบครั้งที่ตำรวจจะมาตามตัวเขาไปสอบสวนเกี่ยวกับบทความออนไลน์ที่เผยแพร่อยู่ในโลกอินเตอร์เน็ตนอกประเทศจีน แต่ก็ไม่ได้กักขังตัวเขา
ในปี2008 เพื่อรำลึกถึงวาระครบรอบ60ปีแห่งการประกาศปฏิญญาสิทธิมนุษยชนสากล หลิวและพวกอีกกว่า8,600คน ได้เข้าชื่อกันเสนอ “มาตรา08” เรียกร้องแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เปิดกว้างแก่เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น สิทธิในการเลือกตั้งอย่างอิสระ และเคารพในหลักการสิทธิมนุษยชน รัฐบาลจีนซึ่งกำลังเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกและมีแขกต่างชาติอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง มองขบวนการรณรงค์ดังกล่าวว่าเป็นการท้าทายและทำลายเกียรติภูมิของชาติอย่างยิ่ง ตำรวจได้เข้าควบคุมตัวหลิวพร้อมๆกับผู้ร่วมลงชื่ออีกหลายคน ด้วยข้อหาความมั่นคงและบ่อนทำลายการบริหารของรัฐตามมาตรา 105 ของกฎหมายอาญาจีน หลิวและพวกอีกจำนวนหนึ่งถูกควบคุมตัวโดยไม่ได้รับสิทธิพบทนายความ การกักขังตัวถูกขยายเวลาออกไปอีกหลายครั้งกว่าที่จะเริ่มกระบวนการส่งฟ้องต่อศาลในเดือนธันวาคมปีถัดมา ตลอดช่วงเวลาของการไต่สวนพิจารณาคดี ไม่มีการอนุญาตให้สื่อเข้ารับฟังคดี คณะทูตของประเทศตะวันตกนับสิบประเทศที่ประจำอยู่ ณ กรุงปักกิ่ง ได้พยายามร้องขอเข้ารับฟังการพิจารณาคดี แต่ถูกรัฐบาลจีนปฏิเสธเพราะถือว่าเป็นกิจการภายในของจีน ในที่สุดเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2009 ก่อนวันเกิดของหลิวเพียงสามวัน ศาลอาญาของจีนได้มีคำพิพากษาว่ามีความผิด ในข้อหาการกระทำอันมุงล้มล้างกระปกครองแห่งรัฐ และให้จำคุกหลิวเป็นเวลา11ปี ตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา2ปี หลิวได้รับการเสนอชื่อให้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปี2010 ในขณะที่ต้องขังอยู่ในเรือนจำจินโจวมณฑลเหลียวหนิง
รางวัลและเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากโลกภายนอกต่อกรณีของหลิวจะเป็นอย่างไรก็เรื่องหนึ่ง ทว่าที่แน่แท้แล้ว อนาคตของหลิว เสี่ยวปอและผู้ต้องขังอีกหลายคนในจีน คงต้องขึ้นอยู่กับปฏิกิริยาและความรับรู้ของสาธารณชนในจีน ว่าจะมองรางวัลโนเบลและสิทธิมนุษยชนอย่างไร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น