โดย รศ. พรชัย ตระกูลวรานนท์
สาขามานุษยวิทยา
คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ท่านผู้อ่านส่วนใหญ่คงทราบกันดีว่า สารทจีนหรือวันขึ้น15ค่ำถือว่าเป็นเทศกาลสำคัญในเดือนเจ็ดของปีจันทรคติจีน ทว่าคงมีท่านผู้อ่านไม่มากนักที่จะทราบว่าเดือนเจ็ดของจีนยังมีวันสำคัญอีกหนึ่งวัน คือวันขึ้น7ค่ำ ปัจจุบันถูกกำหนดอย่างไม่เป็นทางการว่าเป็นเทศกาลวันแห่งความรักของจีน เพราะเป็นวันที่กลุ่มดาวเทพโคบาลโคจรเวียนมาพบกับกลุ่มดาวเทพีทอผ้า บนคนละฝากฝั่งของทางช้างเผือก ตามตำนานจีน ปีหนึ่งจะได้เวียนมาเจอกันเพียงครั้งเดียว แถมยังต้องอดทนได้แต่สบตากันอยู่คนละฝากฝั่ง ช่างให้อารมณ์กึ่งโรแมนติคกึ่งเศร้าแบบจีนดีนัก
ที่ผมเอาเรื่องวันแห่งความรักของจีนมานำเสนอในคราวนี้ ไม่ใช่คิดจะขายของเก่าที่เคยนำเสนอไปครั้งหนึ่งเมื่อตอนต้นปี(ผู้อ่านที่รักบางท่านอาจยังจำได้) แต่เพราะมีข่าวเกี่ยวกับเรื่องราวอุปสรรครักของหนุ่มสาวชาวจีนมาเผยแพร่ในช่วงนี้พอดี กล่าวคือ ทางสมาคมประชากรศาสตร์ของจีนและสำนักงานประชากรและการวางแผนครอบครัวแห่งชาติ ได้จัดเวทีประชุมนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับประชากรและปัญหาครอบครัวจีนสมัยใหม่ปรากฏเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์จีนเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เนื้อข่าวก็มีว่าจำนวนประชากรเพศชายที่อยู่ในวัยแต่งงานเทียบสัดส่วนกับประชากรหญิงจีน เริ่มแตกต่างมากยิ่งขึ้นจนน่าเป็นห่วง ไม่เพียงเป็นอุปสรรคทำให้หนุ่มจีนหาเจ้าสาวยากเท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมาอีกสารพัด
ตัวเลขล่าสุดเทียบสัดส่วนประชากรชายต่อหญิงที่อยู่ในช่วงอายุวัยแต่งงาน อยู่ที่130/100 จากงานวิจัยของสถาบันประชากรศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยหนานไค ในขณะที่ตัวเลขการพยากรณ์ของสภาสังคมศาสตร์แห่งชาติเตือนว่าเมื่อถึงปี2020 จะมีประชากรชายจีนในวัยแต่งงาน(19-45)ที่หาเจ้าสาวไม่ได้สะสมเพิ่มเป็น 24ล้านคนทั่วประเทศ ตัวเลขสะสมนี้ไม่ได้เพิ่งจะปรากฏ ทว่าเริ่มมีมาตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 1980 และหากไม่มีมาตรการแก้ไข ความไม่สมดุลทางประชากรกรนี้จะส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาทางสังคมอื่นๆอีกมาก ทั้งนี้ยังไม่ได้พิจารณาถึงสถานการณ์ในบางเขตที่มีปัญหาหนักกว่าค่าเฉลี่ยภาพรวมทั้งประเทศ ยกตัวอย่างเช่นกรณีศึกษาในมณฑลเหยหลงเจียง นักวิจัยของสภาสังคมศาสตร์ฯพบว่าหมู่บ้านบางแห่งเด็กสาวในวัยแต่งงานกว่าร้อยละ70เรียนหนังสือหรือทำงานอยู่นอกพื้นที่ และไม่มีแนวโน้มที่จะกลับมาอยู่อาศัยหรือทำงานในถิ่นเกิดของตน ในขณะที่ประชากรชายในวัยแต่งงานจำนวนหนึ่งอาจจำเป็นต้องเรียนหรือทำงานนอกพื้นที่บ้านเกิด แต่ด้วยประเพณีปฏิบัติและความคาดหวังของครอบครัว จะช้าหรือเร็ว ชายหนุ่มเหล่านี้ก็ต้องเดินทางกลับมาใช้ชีวิตในแผ่นดินบ้านเกิดของตนเพื่อสืบทอดสายสกุลไม่ให้ขาดช่วง ถึงตอนนั้น หนุ่มๆ(หรืออาจไม่หนุ่มแล้วก็ได้)เหล่านี้ก็จะพบว่าไม่มีหญิงสาวเหลืออยู่ในหมู่บ้านเพียงพอที่จะให้สู่ขอมาแต่งงานด้วย การจะหาสาวจากหมู่บ้านอื่นมาเป็นคู่ครอง ก็เป็นเรื่องที่ยากหนักขึ้นไปอีก เว้นเสียแต่จะมีเงินถุงเงินถังสายค่าสินสอดทองหมั้นได้ไม่อั้น สถานการณ์ทำนองนี้มีให้พบเห็นได้โดยทั่วไปในเขตมณฑลที่ยังยากจนของจีน เช่นในมณฑล กุ้ยโจว กวางสีจ้วง กานซู ยูนนาน ฯลฯ จำนวนผู้ชายที่ไม่ได้แต่งงานมีเพิ่มมากขึ้นทุกปีเมื่อเทียบกับชายที่แต่งงานมีครอบครัว เมื่อพิจารณาว่าระบบความเชื่อและการให้คุณค่ากับครอบครัวของจีนมีมากเพียงใด ก็ยิ่งทำให้เราเห็นและเข้าใจได้ว่าหนุ่มๆที่ไม่มีโอกาสได้แต่งงานในวัยอันควรเหล่านี้จะเครียดและถูกกดดันจากพ่อแม่ขนาดไหน
ผลกระทบทางอ้อมจากความไม่สมดุลของประชากรหญิงชาย ยังนำไปสู่ปัญหาที่จีนไม่เคยเจอะเจอมาก่อน เช่นปัญหาการลักพาตัวหญิงสาวจากชนบทห่างไกลเพื่อขายไปเป็นภรรยา ปัญหาการล่อลวงของบริการหาคู่ ปัญหาหญิงบริการทางเพศฯลฯ จากรายงานการศึกษาของสมาคมประชากรศาสตร์จีน ซึ่งทำการสำรวจหญิงสาวต่างถิ่นจากทั่วประเทศ ที่แต่งงานเข้ามาอยู่ในแถบตะวันออกของมณฑล เจ้อเจียง (อันจัดว่าเป็นเขตที่เติบโตร่ำรวยจากการพัฒนาทางเศรษฐกิจสูงมากเป็นอันดับสองของประเทศ) จำนวน200,000รายพบว่าร้อยละ18 หรือกว่า36,000คนให้ข้อมูลว่าถูกลักพาตัวมาจากพื้นที่ยากจนในมณฑล ยูนนาน เสฉวน หูเป่ย กุ้ยโจว ในเวลาเดียวกัน จำนวนเจ้าสาวต่างด้าวก็มีเพิ่มมากขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ตัวอย่างเช่นหนุ่มใหญ่ชาวเมืองถงเหอในมณฑลเหยหลงเจียง หลังจากล้มเหลวในการหาเจ้าสาวชาวจีนอยู่จนอายุย่างเข้า40ปี ได้ตัดสินใจใช้บริการเจ้าสาวนำเข้าจากเวียดนาม โดยเสียค่าใช้จ่ายให้กับนายหน้าในการจัดหา 58,000หยวน งานแต่งงานจัดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในหนึ่งสัปดาห์ที่เจ้าสาวมาถึง และอีกหนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น เจ้าสาวก็หายตัวไปโดยอ้างว่าไปจ่ายตลาดแต่ไม่หวนกลับมาอีกเลย ในมณฑลเดียวกันนี้ มีหนุ่มหน้าเศร้าอีกกว่าร้อยราย ได้แจ้งความไว้กับตำรวจในทำนองเดียวกันในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ที่โชคร้ายหนักกว่านั้นก็คือ ตามกฎหมายของจีน หนุ่มหน้าเศร้าเมียหายเหล่านี้ จะไม่สามารถแต่งงานใหม่ได้ เว้นแต่จะได้ตัวภรรยาชาวเวียดนามที่ถูกต้องตามกฎหมายเหล่านั้น กลับมาจดทะเบียนหย่าให้เรียบร้อยเสียก่อน ถ้าหาตัวกลับมาไม่ได้ ก็ต้องทนเป็นพ่อหม้ายเมียหนีไปตลอดชีวิต
ยังมีเรื่องน่าเศร้าอีกเยอะครับเกี่ยวกับความพยายามในการหาคู่ของหนุ่มจีน โดยเฉพาะในพื้นที่ซึ่งเศรษฐกิจยังไม่เจริญเท่าที่ควร แต่สำหรับหนุ่มๆที่มีการศึกษาและมีฐานะครอบครัวดี เวลานี้กลับมีกระแสความนิยมรูปแบบใหม่ กล่าวคือ พ่อแม่นักธุรกิจจีนจำนวนไม่น้อย เริ่มเสาะหาและส่งเสริมให้ลูกชายของตนคบหาหญิงสาวจากครอบครัวนักธุรกิจเชื่อสายจีนในโพ้นทะเลมากขึ้น ก็ขออนุญาตนำข่าวสารนี้แจ้งมายังหมวยๆชาวไทยให้รับทราบกันไว้ เผื่อจะได้มีเวลาเตรียมตัวเรียนภาษาจีนกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น