โดย รศ. พรชัย ตระกูลวรานนท์
สาขามานุษยวิทยา
คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ผมได้เคยนำเสนอเรื่องราวของนครเสิ่นเจิ้น ในโอกาสครบรอบสามสิบปีของการจัดตั้งและพัฒนาเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งแรกของจีน ในบทความชิ้นนั้นผมได้เล่าให้ท่านผู้อ่านที่รักได้ทราบถึงความสำเร็จที่ผ่านมาของเมืองมหัศจรรย์แห่งนี้ รวมทั้งแนวทางการพัฒนาในอนาคตของเสิ่นเจิ้น ที่ทางรัฐบาลกลางของจีนได้กำหนดไว้ แต่เนื่องจากพื้นที่คอลัมน์ไม่ได้มีมากมาย ผมก็เลยยังติดค้างเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวข้อง เป็นบทบาทภาระใหม่ของนครเสิ่นเจิ้น แต่มัวเล่าเรื่องอื่นๆจนผ่านไปหลายสัปดาห์ ลืมไปแล้วจริงๆครับ มาเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมานี้ เหลือบไปเห็นหน้าปกนิตยสาร Newsweek ฉบับประจำวันที่ 4 ตุลาคม ( เป็นฉบับที่ขายในเอเชีย หลายเรื่องไปโผล่ในฉบับ online ก่อนหน้าแล้ว ) จั่วหัวเรื่องการพัฒนาเมืองใหม่ทางตะวันตกของจีนบนหน้าปก เลยทำให้ความจำของผมกลับคืนมา ว่ายังมีหนี้ค้างชำระที่ต้องเล่าให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบเพิ่มเติม สืบเนื่องเกี่ยวข้องกับนครเสิ่นเจิ้น
รายงานของนิตยสารNewsweek แจ้งว่านับแต่ปีกลายเป็นต้นมา รัฐบาลจีนได้ทุ่มงบประมาณจำนวนมากในแผนพัฒนาที่จะผลิกโฉม เมือง Kashgar ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ให้กลายมาเป็นนครเสิ่นเจิ้นแห่งที่สอง โดยมอบหมายให้นครเสิ่นเจิ้นทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงและร่วมอุดหนุนงบประมาณ คงต้องเริ่มต้นด้วยการทำความรู้จักก่อนว่าไอ้เมืองที่ว่านี้อยู่ที่ไหนกัน เมือง Kashgar นี้เป็นชื่อเรียกตามแบบตะวันตก ในภาษาจีนคือเมือง คาสือ ในเขตปกครองตนเองชนชาติอุยเกอร์ซินเจียง เป็นเมืองโอเอสีสชุมทางการค้าขายโบราณ มีปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์จีนตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นยุคแรกๆ มามีชื่อเสียงมากเป็นพิเศษในสมัยราชวงศ์หยวนหรือมองโกลในฐานะจุดแวะพักสำคัญบนเส้นทางสายไหม แต่กระนั้นก็ยังนับว่าไกลจากศูนย์กลางของจีนมาก แยกตัวออกจากชนชาวฮั่นส่วนใหญ่ด้วยทะเลทรายทาคลีมากานอันเวิ้งว้าง เกือบจะติดชายแดนด้านประเทศทาจีคีสถานและประเทศเคอร์กีสถาน หากบินจากปักกิ่งก็ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าหกชั่วโมง ประชากรเกือบทั้งหมดจากประมาณ4ล้านคนเป็นชาวมุสลิมอุยเกอร์ สภาพทางเศรษฐกิจล้าหลัง ทรัพยากรธรรมชาติมีน้อย จุดเด่นประการเดียวคือตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์
ที่ทำให้นานาชาติต้องจับตาดูเป็นพิเศษก็คือเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมปีนี้ รัฐบาลที่ปักกิ่งได้ประกาศยกระดับให้เมืองคาสือเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษล่าสุดของประเทศ หลังจากที่ว่างเว้นไม่ได้ประกาศเขตเศรษฐกิจพิเศษใหม่มาถึง 15 ปี(เมืองก่อนหน้าผมเข้าใจว่าคือเขตเศรษฐกิจพิเศษจูไฮ่ ถ้าจำผิดก็ขออภัย) ต้องถือว่าเป็นสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดว่ารัฐบาลจีนเอาจริงกับเรื่องนี้ เพราะการประกาศให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษนั้น หมายความว่าจีนประสงค์จะดึงเอาทุนภายนอกให้เข้ามาร่วมพัฒนาพื้นที่อย่างจริงจัง ซึ่งจะทำให้เกิดบรรยากาศความเป็นนานาชาติและเมืองสมัยใหม่ ไม่ใช่เป็นเพียงการยักย้ายงบประมาณบริหารภายในเพื่อเอาใจและแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ระหว่างฮั่นกับอุยเกอร์ ที่ประทุรุนแรงในช่วงสี่-ห้าปีที่ผ่านมา
ที่ผมเกริ่นไว้ตอนต้นว่าเรื่องนี้สืบเนื่องเกี่ยวข้องกับนครเสิ่นเจิ้นก็เพราะ เพื่อให้สามารถเร่งรัดแผนของรัฐบาลกลางในการพัฒนาเมืองคาสือ ปักกิ่งได้มอบหมายให้มหานครกวางเจาและนครเสิ่นเจิ้นทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงในการพัฒนา พร้อมทั้งสั่งการให้ถ่ายโอนงบประมาณกว่า 9,800 ล้านหยวนให้กับเขตเศรษฐกิจพิเศษคาสือในระยะเวลา 5 ปี ตามนโยบาย “มณฑลรวยช่วยมณฑลยากจน” เป้าหมายเฉพาะหน้าคือยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ให้มีความทันสมัยทัดเทียมกับส่วนอื่นๆของประเทศ ทำให้เมืองคาสือ กลายมาเป็นมหานครระดับนานาชาติที่เชื่อมโยงติดต่อกับเอเชียกลาง เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และยุโรปตะวันออก ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว นั้นหมายถึงต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม เท่าที่ผมทราบมา ตอนนี้ก็เริ่มมีบริษัทและนักลงทุนจำนวนหนึ่งจากนครเสิ่นเจิ้นและกวางเจา เข้าไปใช้ประโยชน์จากความเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษของคาสือ (ได้รับยกเว้นภาษี และสิทธิประโยชน์การนำเข้าส่งออกสินค้าบางประเภท) เตรียมลู่ทางลงทุนในระบบทางรถไฟความเร็วสูง การก่อสร้างถนนทางด่วน ซึ่งสอดคล้องตามแผนการพัฒนา เพราะเมื่อกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา รัฐบาลจีนกับอิหร่านเพิ่งจะบรรลุข้อตกลงให้จีนเข้าไปสร้างทางรถไฟจากเตหรานไปชายแดนอิรักเพื่อเปิดทางออกสู่ทะเล เส้นทางรถไฟนี้ ตามแผนในภาพรวมจะต่อเชื่อมกับทางรถไฟที่จีนจะลงทุนขยายจากคาสือไปยัง ทาจีคีสถาน เคอร์กีสถาน เตหราน และทะเลอาหรับ หรือเส้นทางรถไฟสายคาสือ อิสลามาบัด ท่าเรือน้ำลึกกวาดาร์ (Gwadar ตั้งอยู่ชายฝั่งทะเลอาหรับทางตะวันตกเฉียงใต้ของปากีสถาน รัฐบาลจีนไปสร้างท่าเรือน้ำลึกเตรียมไว้แล้ว สำหรับขนถ่ายน้ำมันจากตะวันออกกลาง และส่งสินค้าจีนไปตะวันตก) ทั้งหมดนี้เป็นส่วนย่อยส่วนหนึ่งในแผนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจและความมั่นคงทางพลังงาน (หรือจะรวมความมั่นคงทางการทหารด้วยก็ไม่รู้ )ของจีนในระยะ30ปีข้างหน้า เมืองคาสือได้ก้าวจากหัวเมืองเล็กๆที่ซบเซามานาน พอๆกับเส้นทางสายไหมหลังยุคมองโกล บัดนี้กลับฟื้นคืนชีพเป็นศูนย์กลาง”เส้นทางสายไหมเหล็ก”(ทางรถไฟ ตามสมญานามที่สำนักข่าวในจีนตั้งให้) ทำหน้าที่เป็นตัวต่อเชื่อมในแผนการยุทธศาสตร์ใหญ่ ที่มีความสำคัญไม่ใช่เพียงต่อประเทศจีน แต่จะกลายมาเป็นอีกหนึ่งศูนย์กลางต่อเชื่อมทางยุทธศาสตร์ระดับภูมิภาค นับแต่การประกาศเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ผู้คนจำนวนมาก (แน่นอนว่าส่วนใหญ่คือชาวฮั่นจากมณฑลทางตะวันออกที่รวยกว่า) กำลังแห่กันเข้ามาจับจองทำเลทองและโอกาสทางธุรกิจที่กำลังขยายตัว ราคาห้องชุดและอสังหาริมทรัพย์รูปแบบอื่นๆสูงขึ้นจากเดิมกว่าร้อยละ30 จำนวนนักท่องเที่ยวจากส่วนอื่นๆของประเทศ เพิ่มขึ้นสามเท่าตัว อัตราการเจริญเติบโตสูงถึง ร้อยละ17.4 เป้าหมายในอนาคตคือต้องเรียนรู้จากเสิ่นเจิ้นและเติบโตให้ได้อย่างเสิ่นเจิ้น คือเฉลี่ยที่ร้อยละ 25 ต่อปี แต่ทั้งหมดนี้ผมอย่างสรุปตอนท้ายแบบไม่สร้างสรรค์สักหน่อยว่า “ได้ถามได้คุยกับชาวอุยเกอร์บ้างหรือยัง?”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น